วันศุกร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2553

แหล่งเรียนรู้ออนไลน์ เกี่ยวกับเด็กปฐมวัย

ลิงค์ รายละเอียด
http://www.bbl4kid.org/ รวมบทความ กิจกรรม สื่อสร้างสรรค์ สำหรับเด็กปฐมวัย
http://www.plawan.com/game/index.php
เป็นแหล่งเกมส์สนุกๆสำหรับเด็กปฐมวัยที่สอดแทรกความรู้ไว้เต็มเปี่ยม
http;//www childthai.org/ เป็นข่าวการเคลื่อนไหวจากสถานที่ต่างๆและยังมีโปรแกรมวาดภาพพร้อมสอดแทรกความรู้เกี่ยวกับลูก
http://www.bkkchildrenmuseum.com/
เป็น เว็บที่เกี่ยวกับการจัดกิจกรรมของเด็กในแต่ละด้าน
http://www.tataya.com/
เป็นเว็ปที่ให้ความรู้เกี่ยวกับเด็ก มีเนื้อหาต่างๆ เกี่ยวกับเด็กที่น่าสนใจ มีบทความต่างๆ เกี่ยวกับเด็ก
http://www.Thaiparents.com
เป็นเว็ปที่เกี่ยวกับการให้ความรู้ในการดูแลบุตร อายุตั้งแต่ แรกเกิด ถึง 12 ปี มีการถามตอบปัญหาที่เกิดกับเด็ก อีกทั้งมีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการเลี้ยงดูบุตร
http://www.dekdek.com/entertaint.htm
ประกอบ ด้วยห้องนิทาน ห้องเกมส์ ห้องสาระน่ารู้กับหนูดำ บทความเด็กและครอบครัว ถ้าเพื่อนๆสนใจที่จะนำไปเป็นศึกษาก็สามารถทำได้เพราะมีประโยชน์มากสำหรับ เด็กปฐมวัย
http://www.tumbletots.co.th/tumbletots.asp
ประกอบไปด้วยโปรแกรมของทัมเบิ้ลทอทส์ 3 ช่วงอายุ ประโยชน์ของแต่ละโปรแกรมที่เหมาะสมกับช่วงอายุเด็ก
http://www.anamai.moph.go.th/env/cbb/nitan/ffan/ffan.htm
เป็นเว็บเกี่ยวกับนิทานของกองทัตสาธารณสุขกรมอานามัย เพื่อนๆ สนใจเข้ามาชมและนำไปสอนเด็ก ๆ ที่โรงเรียน
http://www.curistory.com/us/card/music.asp?code=m
เพลงเด็กน่ารักๆ กลอนเพราะๆ
http://www.dofordek.com/script/fangnitan/fangnitan.php
นิทานสำหับเด็ก
http://www.enchantedlearning.com/Rhymes.html
หัดระบายสีหน้าจอ
http://www.greettv.dusit.ac.th/page/11/ รวมหลากหลายเรื่องราว นานา สาระ เกี่ยวกับปฐมวัย เช่น สื่อการเรียนรู้ kid variety
แหล่งเรียนรู้ออนไลน์ เกี่ยวกับเด็กปฐมวัย

แหล่งเรียนรู้และเครือข่ายการเรียนรู้บนเครือข่าย Internet ที่เอื้อต่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต เรื่อง โคมลอย

แหล่งเรียนรู้และเครือข่ายการเรียนรู้บนเครือข่าย Internet ที่เอื้อต่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต
เรื่อง โคมลอย
Link รายละเอียด
1.http://www.moohin.com/trips/chiangrai/komloy/
โคมลอยของฝากจากเชียงราย
2.http://khomloypasang.uuuq.com/khomloy.html
ประวัติความเป็นมาของโคมลอย
3.http://www.igetweb.com/www/kwankaokhomloy/index.php?mo=3&art=391511
ความรู้เกี่ยวกับโคมลอย
4.http://www.thaibizcenter.com/knowledgecenter.asp?kid=2427
ที่มาโคมลอย ทำไมต้องลอยโคม
5.http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=379aa6998f5c3a2f
เทศกาลลอยกระทง โคมลอยทำไมต้องลอยโคม
6.http://www.qoolive.com/show_blog/1671/us/hongyoke/t/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%A2
วิธีการทำโคมลอย
7.http://www.khomloycm.com/manual.php
วิธีการเล่นโคมลอย
8.http://www.shopsinka.com/89/%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%A2.html
โคมลอยขายตรง
9.http://www.khomloycm.com/
โคมลอยขายส่ง โดยตรงจากผู้ผลิต
10.http://www.thaimtb.com/cgi-bin/viewkatoo.pl?id=38753
ความเห็นเกี่ยวกับโคมลอยในกิจกรรมต่างๆ

แหล่งเรียนรู้ ภาพการ์ตูน

ลิงค์ รายละเอียด
1. http://dookdik.kapook.com/ เป็นแหล่งรวมภาพการ์ตูนน่ารัก
2. http://atcloud.com/stories/40617 เป็นแหล่งรวมภาพการ์ตูนเกี่ยวกับอาหาร
3. http://sakid.com/2007/10/12/7084/ เป็นแหล่งรวมภาพการ์ตูนเกี่ยวกับดอกไม้ธรรมชาติ
4. http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=kungguenter& month=21-05-2009&group=32&gblog=12 เป็นแหล่งรวมภาพการ์ตูนเกี่ยวกับตัวอักษร
5. http://atcloud.com/discussions/45779 เป็นแหล่งรวมภาพการ์ตูนเกี่ยวกับสัตว์น่ารักๆ
6. http://www.coverdd.com/animation/ เป็นแหล่งรวมห้องภาพ
7. http://www.jengsud.com/emo/ เป็นแหล่งรวมภาพการ์ตูนที่แสดงอารมณ์
8. http://www.nightsiam.com/forum/index.php?topic=851.0 เป็นแหล่งรวมภาพการ์ตูนวันเกิด
9. http://flash-mini.com/hi5code/emotion_hi5msn.php เป็นแหล่งรวมภาพการ์ตูนสัญลักษณ์ MSN
10. http://ecard.kapook.com/category.php?category_id=47 เป็นแหล่งรวมภาพการ์ตูนภาพเคลื่อนไหว

แหล่งเรียนรู้ สื่อวิทยาศาสตร์

แหล่งเรียนรู้ สื่อวิทยาศาสตร์

ที่ ลิงค์ รายละเอียด
1 http://www.caistudio.info/ เป็นหน้าเวปสื่อประกอบการเรียนการสอน CAI ทุกกลุ่มสาระสามารถดาวโหลดมาใช้สอนในชั้นเรียนได้
2 http://www.stkc.go.th/cd_download/ เป็นเวปสื่อที่เป็น CD เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ สามารถดาวโหลดมาใช้สอนในชั้นเรียนได้ทุกระดับชั้น
3 http://www.edu.cmu.ac.th/~science/InstrMedia.html เป็นเวปสื่อการสอนประเภทกิจกรรมการทดลองทุกระดับชั้นของสวท
4 http://www.youtube.com/view_play_list?p=575B58727CBC7CD6 เป็นเวปสื่อการสอนที่เป็นวีดีโอสามารถเปิดให้นักเรียนศึกษาหรือดูเพื่อความเพลิดเพลินและให้คติสอนใจ
5 http://www.kruaung.com/index.php เป็นข้อสอบระรับประถมศึกษาถึงระดับมัธยมศึกษา
ชุดการสอน
บทเรียนสำเร็จรูป
คอมพิวเตอร์ช่วยสอน
6 http://www.goosiam.com/games/viewallgame.asp เกมส์สื่อวิทยาศาสตร์
7 http://gotoknow.org/blog/wilaiaun/ การเรียนการสอนวิทยาศาสตร์โดยใช้กระดาษอัฉริยะ
8 http://www.rmutphysics.com/charud/transparency/index.htm แผ่นใสวิชาฟิสิกส์
9 http://teacherkobwit2010.wordpress.com/ การสอนวิทย์แบบ Inquiry
วิทยาศาสตร์ ม.1
โลก ดาราศาสตร์และอวกาศ ม.ปลาย
10 http://kunkrupreeda.exteen.com/ การเปลี่ยนแปลงของโลก
11 http://learners.in.th/blog/tasana/260088 สื่อการสอนวิทยาศาสตร์ระดับปฐมวัย

แหล่งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ เว็ปไซต์เกี่ยวกับคณิตศาสตร์ทุกแขนง

ลิงค์ รายละเอียด
http://www.school.net.th/library/snet2/ เว็ปไซต์เกี่ยวกับคณิตศาสตร์ทุกแขนง ตั้งแต่ความเป็นมาของคณิตศาสตร์ นักคณิตศาสตร์ของโลก การประยุกต์คณิตศาสตร์ แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ เกม สรุปสูตร ฯลฯ
http://www.kanid.com/ เว็ปไซต์ที่ทำให้คุณอยากเรียนคณิตศาสตร์ รวมสื่อการสอนคณิตศาสตร์ สื่อมัลติมิเดีย สื่อประยุกต์โครงงาน เกมคณิต วัดไอคิว ฯลฯ
http://www.ipst.ac.th/smath/web_math/web_math1.
Html เว็ปไซต์คณิตศาสตร์มัธยมศึกษาของ สสวท. มีทั้งแผนการสอน สื่อการสอน หลักสูตรคณิตศาสตร์ แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ฯลฯ
http://www.thai-mathpaper.net/ ศูนย์รวมข้อสอบคณิตศาสตร์ หนังสือเรียนคณิตศาสตร์ออนไลน์ แบบทดสอบคณิตยอดนิยม ฯลฯ
http://www.sahavicha.com/?name=knowledge&category=4
เว็ปไซต์ของสหวิชาดอทคอมฝ่ายคณิตศาสตร์ รวบรวมบทความ ความรู้เกี่ยวกับคณิตศาสตร์
http://www.math.pinionteam.net/ รวมโจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ บทความ โปรแกรมคณิตศาสตร์ ลับสมอง ปัญหาเชาว์ ฯลฯ
http://www.math.or.th/ เว็ปไซต์สมาคมคณิตศาสตร์แห่งประเทศไทย ประกาศสอบคณิตศาสตร์ อบรมครูคณิตศาสตร์ ค่ายคณิต ฯลฯ
http://www.ripn-math.com/ ศูนย์พัฒนาสื่อการเรียนการสอนคณิตศาสตร์
http://www3.ipst.ac.th/primary_math/ict_material/mini_lo.asp เว็ปไซต์คณิตศาสตร์ประถมศึกษาของ สสวท. มีทั้งแผนการสอน สื่อการสอน หลักสูตรคณิตศาสตร์ แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ฯลฯ
http://www.mc41.com/ เว็ปไซต์เกี่ยวกับคณิตศาสตร์ที่น่าสนใจ รวบรวมทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ ทั้งครูและนักเรียนสามารถศึกษาได้

แหล่งข้อมูลการเรียนรู้อิเล็กทรอนิกส์ ทฤษฎีการเรียนรู้

แหล่งข้อมูลการเรียนรู้อิเล็กทรอนิกส์
ทฤษฎีการเรียนรู้

ที่ ลิงค์ รายละเอียด
1 http://th.wikipedia.org/wiki/ทฤษฎีการเรียนรู้ ทฤษฎีการเรียนรู้ (learning theory) การเรียนรู้คือกระบวนการที่ทำให้คนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ความคิด คนสามารถเรียนได้จากการได้ยินการสัมผัส การอ่าน การใช้เทคโนโลยี

2 http://edtechno.msu.ac.th/mod/resource/view.php?id=86 ฤษฎีการเรียนรู้
»ทฤษฎีการเรียนรู้ที่เป็นพื้นฐาน
»ทฤษฎีจากกลุ่มพฤติกรรมนิยม
»กลุ่มความรู้ (Cognitive)

3 http://www.suphet.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=110814&Ntype=2 หลักการและทฤษฎีเกี่ยวกับการเรียนรู้

4 http://www.novabizz.com/NovaAce/Learning.htm ทฤษฎีการเรียนรู้จาก การเก็บข้อมูล (Retention Theory)
5 http://www.kroobannok.com/1549 ทฤษฎีการเรียนรู้ Constructivism
6 http://www.wijai48.com/learning_stye/learningprocess.htm แนวความคิดในเรื่องของการเรียนรู้ของมนุษย์ ได้รับความสนใจอย่างมากจากนักปรัชญาและนักจิตวิทยามาแต่ในอดีต
7 http://puvadon.multiply.com/journal/item/5 ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยม
(Learning Theory : Behaviorism)
8 http://socialscience.igetweb.com/index.php?mo=3&art=15154 การเรียนรู้ ( Learning )
9 http://www.tciap.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538781189 ทฤษฎีการเรียนรู้ (learning theory)

10 http://www.inspect11.moe.go.th/index.php/component/content/article/54-2009-11-28-01-55-54/128-2010-02-23-07-40-15 ทฤษฎีการเรียนรู้ที่มีผลต่อ
แนวทางการออกแบบการเรียนการสอนและการประเมินผล
11 http://pirun.ku.ac.th/~g4886063/learningT.htm ทฤษฎีการเรียนรู้
12 http://www.tumcivil.com/engfanatic/board/gen.php?topic_id=13741&hit=1 2.1 แนวคิดทฤษฏีเกี่ยวกับการเรียนรู้

แหล่งข้อมูลการเรียนรู้อิเล็กทรอนิกส์ ทฤษฎีการเรียนรู้

แหล่งข้อมูลการเรียนรู้อิเล็กทรอนิกส์
ทฤษฎีการเรียนรู้

ที่ ลิงค์ รายละเอียด
1 http://th.wikipedia.org/wiki/ทฤษฎีการเรียนรู้ ทฤษฎีการเรียนรู้ (learning theory) การเรียนรู้คือกระบวนการที่ทำให้คนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ความคิด คนสามารถเรียนได้จากการได้ยินการสัมผัส การอ่าน การใช้เทคโนโลยี

2 http://edtechno.msu.ac.th/mod/resource/view.php?id=86 ฤษฎีการเรียนรู้
»ทฤษฎีการเรียนรู้ที่เป็นพื้นฐาน
»ทฤษฎีจากกลุ่มพฤติกรรมนิยม
»กลุ่มความรู้ (Cognitive)

3 http://www.suphet.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=110814&Ntype=2 หลักการและทฤษฎีเกี่ยวกับการเรียนรู้

4 http://www.novabizz.com/NovaAce/Learning.htm ทฤษฎีการเรียนรู้จาก การเก็บข้อมูล (Retention Theory)
5 http://www.kroobannok.com/1549 ทฤษฎีการเรียนรู้ Constructivism
6 http://www.wijai48.com/learning_stye/learningprocess.htm แนวความคิดในเรื่องของการเรียนรู้ของมนุษย์ ได้รับความสนใจอย่างมากจากนักปรัชญาและนักจิตวิทยามาแต่ในอดีต
7 http://puvadon.multiply.com/journal/item/5 ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยม
(Learning Theory : Behaviorism)
8 http://socialscience.igetweb.com/index.php?mo=3&art=15154 การเรียนรู้ ( Learning )
9 http://www.tciap.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538781189 ทฤษฎีการเรียนรู้ (learning theory)

10 http://www.inspect11.moe.go.th/index.php/component/content/article/54-2009-11-28-01-55-54/128-2010-02-23-07-40-15 ทฤษฎีการเรียนรู้ที่มีผลต่อ
แนวทางการออกแบบการเรียนการสอนและการประเมินผล
11 http://pirun.ku.ac.th/~g4886063/learningT.htm ทฤษฎีการเรียนรู้
12 http://www.tumcivil.com/engfanatic/board/gen.php?topic_id=13741&hit=1 2.1 แนวคิดทฤษฏีเกี่ยวกับการเรียนรู้

แหล่งข้อมูลการเรียนรู้อิเล็กทรอนิกส์ เกี่ยวกับชุดการสอนกลุ่มสาระวิทยาศาสตร์

แหล่งข้อมูลการเรียนรู้อิเล็กทรอนิกส์

ลิงค์ รายละเอียด
http://www.thaigoodview.com/node/60523
รายงานการพัฒนาชุดการสอน เรื่องน้ำและอากาศ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3
http://www.vcharkarn.com/vcafe/163559
การศึกษาผลการพัฒนาชุดการเรียน การสอน เรื่อง พลังงานแสง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านหนองขาม
http://www.thaigoodview.com/node/86112
การสร้างชุดการสอนสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
เรื่องความสำคัญและประโยชน์ของดวงอาทิตย์สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2
http://www.surinarea1.go.th/isresearch/science_group.html การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้ชุดแบบฝึกทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ หน่วยการเรียนรู้ที่ 1
เรื่อง ชีวิตพืชและสัตว์ ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 2
http://www.kruthacheen.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538665694
การพัฒนาชุดการเรียนรู้ เรื่องบรรยากาศ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1

http://www.kroobannok.com/board_view.php?b_id=8769&bcat_id=16
รายงานผลการใช้ชุดการสอน เรื่อง ร่างกายของเรา อาหารและสารเสพติด เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความพึงพอใจ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
http://gotoknow.org/blog/ntscince
การใช้ชุดการสอนแบบศูนย์การเรียน กลุ่มสาระวิทยาศาสตร์ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 เรื่องวัตถุรอบตัว
http://www.vcharkarn.com/vcafe/163559
การศึกษาผลการพัฒนาชุดการเรียนการสอน
เรื่องพลังงานแสงกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4

http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:5OPNMLWPJNgJ:www.scribd.com/doc/29270145 ชุดการสอน เรื่อง หัวใจและระบบหมุนเวียนเลือด
http://gotoknow.org/blog/taunjai/237751
ชุดการเรียนรู้ เรื่อง โครงสร้างและหน้าที่ของเซลล์

http://www.krooit.com/webboard/index.php?topic=1253.0 การพัฒนาชุดการสอนแบบศูนย์การเรียน
กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2

แหล่งการเรียนรู้ออนไลน์จาก WWW. ที่จะเป็นประโยชน์ เรื่อง เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์

ในการเรียนวิชา CI6601เทคโนโลยีสารสนเทศในการพัฒนาหลักสูตรและการสอน
เรื่อง เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์
ลำดับที่ ลิงค์ รายละเอียด
1 http://www.bcoms.net/news/index.asp แหล่งรวมข่าวสารเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีใหม่ๆ ทดสอบความรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ แนะนำร้านซ่อมคอมพิวเตอร์

2 http://www.itdestination.com/resources/tech/showtech.php?00009 ความรู้ทั่วไปและประเภทเกี่ยวกับฮาร์แวร์ และซอร์ฟแวร์

3 http://www.thaigoodview.com/library/teachershow/nakhonsithamrat/nittaya_c/meaow2/page04_2.htm ความสำคัญสารสนเทศ วิวัฒนาการคอมพิวเตอร์ องค์ประกอบของคอมพิวเตอร์ และการใช้คอมพิวเตอร์สืบค้นข้อมูลทางอินเตอร์เนต

4 http://www.siit.tu.ac.th/thai/it.html การศึกษาสาขาวิชาสารสนเทศ แนวโน้มการทำงาน และศึกษาต่อรวมทั้งความแตกต่างระหว่างสารสนเทศกับวิทยาการคอมพิวเตอร์
5 http://www.thaismeplus.com แหล่งบริการซื้อขายคอมพิวเตอร์หลากหลายแบบ หลายรุ่นและอุปกรณ์สื่อสารอื่นๆที่ใช้กับคอมพิวเตอร์
6 http://www.ez-admin.com/index.php?option=com_content&view=category&layout=blog&id=60&Itemid=455 ศูนย์อบรมระบบเครือข่ายเน็ตเวิร์กครบวงจรมีหลักสูตรฝึกอบรมหลากหลาย อาทิ เช่น
• หลักสูตร Hacking & Security
• หลักสูตร Linux Server Administrator
• หลักสูตร Network Administrator

7 http://www.itexcite.com/ ร่วมกันเสนอความคิดเห็นในการสร้างสังคมไอที ข่าวเด่นประจำวัน “ตามรอยคอมพิวเตอร์ส่วนพระองค์เครื่องแรก”
8 http://www.thaiitstory.com/ บทความ การแลกเปลี่ยนข่าวสารวงการเทคโนโลยีสารสนเทศคอมพิวเตอร์
9 http://www.ict.mbu.ac.th/th/index.php?option=com_content&task=view&id=90&Itemid=41 ศึกษาความรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ในรายวิชาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เพื่อการเรียนรู้ ของมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
10 http://www.nectec.or.th/ ศูนย์อิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สาระน่ารู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ โครงการรับรองคุณภาพคอมพิวเตอร์ รวมทั้งสถาบันอบรมทางด้านคอมพิวเอตร์มากมาย

แหล่งการเรียนรู้และเครือข่ายการเรียนรู้บนอินเตอร์เน็ตที่เอื้อต่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทย

แหล่งการเรียนรู้และเครือข่ายการเรียนรู้บนอินเตอร์เน็ตที่เอื้อต่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทย
ลำดับ ลิงค์ รายละเอียด
1. http://history.startth.com/
เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทย กษัตริย์ของไทย กำเนิดชาติไทย ความหมายของ ประวัติชาติไทย ประวัติศาสตร์สมัยกรุงศรีอยุธยา ประวัติศาสตร์สมัยรัตนโกสินทร์
2. http://www1.tv5.co.th/service/mod/heritage/nation/history/hist1.htm
เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทยก่อนสมัยสุโขทัย ซึ่งมีการแบ่งออกเป็นอาณาจักรต่างๆ เช่น อาณาจักรน่านเจ้า แคว้นโยนกเชียงแสน อาณาจักรเพงาย เป็นต้น
3. http://www.bandhit.com/History/History.html
เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทย ที่กล่าวถึงการทำสงครามของกษัตริย์และนักรบผู้ยอมเสียสละชีวิตในก่อน เช่น สงครามช้างเผือก สงครามยุทธหัตถี ศึกบางระจัน
4. http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=polball&month=18-12-2009&group=17&gblog=12
เกี่ยวกับความเป็นมาของประวัติศาสตร์ไทย และชนชาติไทย
5. http://www.baanjomyut.com/library/thai_history.html
เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทย และบุคคลสำคัญของชาติไทยตั้งแต่สมัยอดีตถึงปัจจุบัน
6. http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/st2545/5-5/no17/main/pravattisad.html
ข้อคำถามและคำตอบเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชาติไทย
7. http://www.kwc.ac.th/1Part1.htm
เกี่ยวกับถิ่นกำเนิดของชนชาติไทย
8. http://www.photikhun.org/index.php?lay=show&ac=article&Ntype=6&Id=539118421
ข้อมูลและหลักฐานประวัติศาสตร์ไทยในรูปแบบของวิดีโอคลิป
9. http://www.m-culture.go.th/detail_page.php?sub_id=522
เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชาติไทยในส่วนของถิ่นฐานเดิมและแหล่งกำเนิดชนชาติไทย
10. http://www.kroobannok.com/1698
เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชาติไทยสมัยกรุงสุโขทัย กรุงศรีอยุธยา และกรุงธนบุรี
11. http://www.iseehistory.com/thai
การนำประวัติศาสตร์ชาติไทยมาจัดทำเป็นภาพยนตร์ เช่น ตำนานสมเด็จ
พระนเรศวรมหาราช
12. http://www.bp-smakom.org/BP_School/Social/kung-ten-buri.htm
เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทยในสมัยกรุงธนบุรี ยุคสมัยของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

แหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิต เรื่องสื่อการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ

ที่ ลิงค์ รายละเอียด
1 http://www.karn.tv/tale.html Karn TV Education media for kids บรรจุเรื่องสาระน่ารู้ เพลง นิทาน ครบทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ เหมาะสำหรับเด็กอนุบาล และประถมต้น
2 http://student.sut.ac.th/anurukclub/show_question.php?qs_qno=933 E-Book ส่งเสริมการอ่านภาษาอังกฤษ ระดับประถมศึกษา (ดาว์นโหลดฟรี)หนังสือส่งเสริมการอ่านประเภท E-Book วิชาภาษาอังกฤษของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษา ประกอบด้วย 10 ชุด มีเนื้อเรื่องชวนอ่านสนุกสนานตั้งแต่ระดับง่ายๆ จนขั้นสูง
3 http://www.thaigoodview.com/node/41746 เป็นเว็บเกี่ยวกับการอ่านภาษาอังกฤษ การอ่านจับใจความ ประโยค เรื่องสั้น การฝึกใช้ภาษาอังกฤษ
4 http://www.zone-it.com/forum/index.php?action=login Zone-it เป็นWeb ของการอ่านการ์ตูนภาษาอังกฤษ
5 http://www.thaigoodview.com/node/532 เว็บ thaigoodview เป็นแหล่งรวามของคลังข้อสอบภาษาอังกฤษ และรายวิชาอื่นด้วย ให้ครุและนักเรียนได้ศึกษาและฝึกทำ
6 http://writer.dek-d.com/dek-d/writer/view.php?id=512889 หนังสือ สื่อ VDO Software Textbook ต่างๆ หรือ จะเป็น Audio ภาษาอังกฤษ โหลดกัน ฟรีรวมไปถึงยังมีหนังสือ ดีๆ พวกนิทานภาษาอังกฤษ หรือวนิยายภาษาอังกฤษ ไว้ไปอ่านกัน
7 http://www.chulaonline.com/ เรียนฟรี Online วันละบท
ChulaOnline.com จัดโครงการเรียน ภาษาอังกฤษพื้นฐานระดับปริญญาตรีฟรี โดยจะสับเปลี่ยนบทเรียนนำเสนออย่างต่อเนื่องทุกวัน
8 http://newpoon.wordpress.com/ มีสื่อการสอน เรื่องเล่า เรื่องสั้นภาษาอังกฤษ
9 http://www.vmodtech.com/webboard/index.php?topic=11411.msg133415;topicseen CD/VCD/DVD สื่อการสอนภาษาอังกฤษสำหรับเด็กปฐมวัย - ประถมศึกษา จากผู้ผลิตสื่อการ สอนสำหรับเด็กชั้นนำระดับโลก เช่น BBC, Cambridge, Oxford
10 http://www.eldc.go.th/eldc3/page/webboard/view_topic.jsp?topic_id=572 ศสษ. ศุนย์พัฒนาความสามารถสำหรับเด็ก สามารถเรียนรู้ด้วยตนเองฟรี แหล่งข้อมูล สื่อการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ ดาวน์โหลดฟรี มีวีดีโอ MP3 ซอฟท์แวร์ หนัง soundtrack พร้อม subtitle

รวบรวมโดย : นางมณัสริญ ไชยมาศ 538989022

สถาบันกวดวิชานักเรียน

สถาบันกวดวิชานักเรียน
ลิงค์ รายละเอียด
1.http://www.tutor-2bee.com/ โรงเรียนสอนศิลปะ หน้าเว็บมีตารางเรียน ที่อยู่ของติวเตอร์
2.http://www.dek-d.com/ เด็กดี มีเว็บบอร์ด เกี่ยวการศึกษา ดูดวง มุมนิยาย
3.http://www.peetewnong.com/home/ พี่ติวน้อง หน้าเว็บมีหน้าข่าวสาร แนะนำการสมัครเรียน หลักสูตรและบริการ
4.http://www.iqpluscenter.com/ ติวเตอร์ผู้นำด้านการสอนพิเศษ มีหน้าต่างรายละเอียด บทความน่ารู้ แนะนำการเรียนพิเศษ อัตราค่าเรียน การสมัครเรียน
5.http://www.sonnong.com/ เว็บสอนน้อง การเรียนตัวต่อตัวผ่านอินเตอร์เน็ต ตั้งแต่ระดับ ป.1 – มหาวิทยาลัย
6.http://www.chulatutorathome.com/ จุฬาติวเตอร์ เว็บเกี่ยวกับเรียนพิเศษ ตั้งแต่อนุบาลถึงระดับมหาวิทยาลัย มีแนวการสอน วิชาที่รับสอน อัตราค่าเรียนพิเศษ
7.http://www.koe-physics.com/ เคมีเซ็นเตอร์ หน้าเว็บจะมีการอัพเดทข่าวสารการศึกษา วิธีการสมัครเรียนพิเศษ รับสอนตั้งแต่ประถมศึกษาถึงมหาวิทยาลัย
8.http://www.thetutor.in.th/portal/home/ เดอะติวเตอร์ มีแนะนำระเบียบการ ข้อมูลข่าวสาร อาจารย์ที่สอน สาขาที่เปิด
9. http://www.thebrain.co.th/ เดอะเบรน หน้าเว็บมีระเบียบการ แนะนำการเรียน มีติวก่อนสอบ
10. http://www.appliedphysics.ac.th/ แอพพลายด์ฟิสิกส์ กิจกรรมสถานบัน ข่าวประชาสัมพันธ์ ตารางเรียน สาขาที่เปิด มีวิธีการสมัครเรียน
11. http://www.chem-ou.com/ เคมี อ.อุ๊ นำแนะเว็บ มีวีธีการสมัครเรียน ข่าวประกาศรับสมัครเรียน
12. http://www.davance.com/ ดา วองค์ หน้าเว็บมีหลักสูตรการเรียน ตารางเรียน แนะนำการเรียน

เว็บที่เกี่ยวกับสุขภาพกายและสุขภาพจิต

เว็บที่เกี่ยวกับสุขภาพกายและสุขภาพจิต
ลิงค์ รายละเอียด
1. http://www.moac.go.th/builder/moac_health/wl_main.php เคล็ดลับสุขภาพ วิธีการดูแลผิวพรรณต่างๆ เส้นผม เครื่องสำอางต่างๆ กินอย่างไรให้สุขภาพดี
2. http://www.clinicrak.com/ โฮมเพจคลินิกรัก ดอท คอม เป็นโฮมเพจอิสระ ไม่สังกัดโทรทัศน์ช่องใด หรือหนังสือเล่มใด จัดทำขึ้นเพื่อให้ท่านได้ศึกษา หาความรู้ จากบทความต่างๆ หรือจะปรับทุกข์ ถามปัญหา โดย post ข้อความตามห้องต่างๆ ด้วยหวังว่าสถาบันครอบครัวของเราจะแข็งแกร่งขึ้นมาบ้าง
3. http://www.thaioptometry.net/ สาขาวิชาทัศนมาตรศาสตร์ (Optometry) เป็นหลักสูตรปริญญาสำหรับผู้ประกอบโรคศิลปะให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการ ประกอบโรคศิลปะ พ.ศ. 2542 จัดเป็นหลักสูตรแรกและหลักสูตรเดียวของประเทศไทยที่เน้นการตรวจและวินิจฉัย ปัญหาทางด้านสายตาและสุขภาพตาอย่างครบถ้วน
4. http://www.thainhf.org/index.php มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ เป็นเว็บที่ให้ความรู้ทั้งด้านสุขภาพร่างกาย และสุขภาพจิต ให้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสุขภาพต่างๆ
5. http://www.doctordek.com/index.php





เป็นเว็บไชค์มูลนิธิเด็กโรคหัวใจ ในพระอุปถัมภ์ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ที่ให้ความช่วยเหลือ มีการบริจาคเงินสนับสนุนกิจกรรมการผ่าตัดโรคหัวใจเด็กให้กับมูลนิธิ เป็นภาพกิจกรรมการออกหน่วย ตารางการออกหน่วยของมูลนิธิ
6. ttp://www.siamhealth.net/ เป็นการให้ความรู้เกี่ยวกับโรคต่างๆ เช่นโรคหวัด โรคมะเร็ง อาหารสำหรับคนป่วยของโรคต่างๆ โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง การกินกาแฟต่างๆ เป็นต้น

ลิงค์ รายละเอียด
7. http://www.thaiclinic.com/ เป็นการตอบปัญหาด้านสุขภาพของคณะแพทย์ศาสตร์ที่ตอบปัญหาของผู้ป่วยที่ป่วยในด้าน อายุรกรรม สูตินรีเวชกรรมและกุมารเวชกรรม หู ตา คอ จมูก และทันตกรรม
8.http://elib.fda.moph.go.th/library/ บริการสืบค้นรายการหนังสือ,วารสาร, CD-Rom และบทความผ่านระบบอินเทอร์เน็ต กฎหมายเกี่ยวกับอาหารและยา ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546-2552 อ.ย เตือนภัยในด้านต่างๆ

9.http://dopah.anamai.moph.go.th/ เว็บไซต์เพื่อการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพของกองออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ กรมอนามัย ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพกับการออกกำลังกาย เทคนิคการออกกำลังกาย งานวิจัยที่เกี่ยวกับการออกกำลังกายที่ทำให้สุขภาพดี
10. http://www.thaicraniofacial.com/ รพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ศูนย์สมเด็จพระเทพรัตนฯ หรือชื่อเดิม ศูนย์แก้ไขความพิการบนใบหน้า และกะโหลกศีรษะฯ เป็นศูนย์กลางการรักษาความพิการบนใบหน้าและกะโหลกศีรษะที่ใหญ่ที่สุดในเอ เซียตะวันออกเฉียงใต้ ดำเนินการโดยไม่แสวงหาผลกำไร และรักษาผู้ป่วยโดยไม่เลือกชนชั้น วรรณะ เชื้อชาติ ซึ่งเป็นไปตามหลักการสากลของสภากาชาด
11. http://www.orthochula.com/ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับทางด้านกระดูกและข้อ ของ รศ.นพ.อารี ตนาวลี ของคณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
12.http://www.siamhealthy.net/ สุขภาพ, อาหารเพื่อสุขภาพ, สมุนไพร, แพทย์ทางเลือก, นวด, อโรมาเธอราปีส์
13.http://www.yourhealthyguide.com/ รวบรวมสาระน่ารู้ น่าสนใจ และเว็บไซต์เกี่ยวกับสุขภาพ อาทิเช่น ความรู้เกี่ยวกับโรคต่างๆ
14.http://www.siamgreenfarm.com/ จัดจำหน่าย ผักปลอดสารพิษ คุณค่าทางโภชนาการสูง ด้วยระบบการปลูกแบบ ผักไฮโดรโปรนิกส์ ทั้งปลีกและส่ง หรือ รับปลูกตามออร์เดอร์ ไม่ใช้สารเคมีฆ่าแมลง ใดๆ จึงปลอดภัยต่อการบริโภค เราปลูกผักไทยเช่น ผักคะน้า (Chinese Kale) ผักบุ้ง (Morning Glory) ผักกวางตุ้ง

แหล่งข้อมูลความรู้อิเล็กทรอนิกส์ ภูมิปัญญาท้องถิ่นภาคเหนือ

แหล่งข้อมูลความรู้อิเล็กทรอนิกส์ ภูมิปัญญาท้องถิ่นภาคเหนือ
ลิงค์/แหล่งข้อมูล รายละเอียด
1. http://kawshevit.blogspot.com/2008/01/blog-post_14.html
- รวมบทความเกี่ยวกับวัฒนธรรม ประเพณี
วิถีชีวิตความเป็นอยู่ การดำรงชีวิตของคนในท้องถิ่น
ภาคเหนือ ประวัติและวิธีการทำโคมลอย
2. http://www.prachatai.com/column-archives/node/2693
- รวมบทความเกี่ยวกับเครื่องมือหาปลาพื้นบ้านภาคเหนือ
เช่น มองปลาบึก แซะ สะเบ็ง ไซหัวหมู นาม กวัก
จ๋ำ (สะดุ้ง) หิง (สวิง)
3. http://lms.thaicyberu.go.th/officialtcu/main/advcourse/presentstu/course/others/wilaiporn/__58.html - รวมบทความเกี่ยวกับเครื่องจักสาน ภูมิปัญญาท้องถิ่นของ
ภาคเหนือ
4. http://www.nidtep.go.th/quality/index.php?name=news
- แหล่งเรียนรู้/ภูมิปัญญาท้องถิ่นภาษาล้านนา หรือคำเมือง
ประวัติศาสตร์ล้านนา อักษรล้านนา ประวัติความเป็นมา
ของธงสากล หรือ ตุง ของชาวล้านนา
5. http://library.cmu.ac.th/ntic/lannafood/
- อาหารพื้นบ้านล้านนา เช่น แกง - น้ำพริก - ตำ/ยำ - ขนม
อาหารว่าง
6. http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=3638.0 - ของเล่นพื้นบ้านของภาคเหนือ

7. http://www.prapayneethai.com/th/amusement/north/ - การละเล่นพื้นบ้านของภาคเหนือ

8.

http://www.prapayneethai.com/th/tradition/north/ - แหล่งรวบรวมข้อมูลด้านประเพณี วัฒนธรรม พิธีกรรม
ความเชื่อ
ที่ ลิงค์/แหล่งข้อมูล รายละเอียด
9. http://www.thaigoodview.com/node/48381
- การแสดง พื้นเมือง ภาคเหนือ
10. http://www.tourthai.com/directory/?c=99
- แหล่งรวบรวมสินค้า O – TOP ของภาคเหนือ
11. http://www.openbase.in.th/taxonomy/term/1188?page=47
- ภูมิปัญญาด้านการจัดการ เรื่อง น้ำบ่อ ฮ่องหล่อ ผัดตาศีล
การแต่งงานแบบพื้นเมือง

12. http://iam.hunsa.com/laongdao/article/26236 - สุภาษิตล้านนา

13.
http://thrai.sci.ku.ac.th/node/1898
- สมุนไพรพื้นบ้านล้านนา
14. http://www.sri.cmu.ac.th/~maeyinglanna/main10/main.php - การแต่งกายของแม่ญิงล้านนา

ภาษไทย

ลำดับที่ ลิงค์ รายละเอียด
1 http://www.kanoksri.com/PowerPoint%20Web/index.htm สื่อการเรียนรู้ CAI ภาษาไทย
คำในมาตราตัวสะกด
คำควบกล้ำ
อักษรนำ
2 http://www.kbyala.ac.th/web-thai/media-tep.htm เอกสารแนะนำการผลิตสื่อวิชาภาษาไทย อาทิเช่น หมีน้อยวรรคตอน, นาฬิกาคู่สัมผัส
บิงโก..ราชาศัพท์, ตลกลำดับเรื่อง,
O-X คำเป็นคำตาย ฯลฯ
3 http://www.school.net.th/library/createweb/10000/language/10000-11919.html วิธีสอนแบบอินเทอร์เน็ตภาษาไทย
บทเรียนสำเร็จรูปภาษาไทย
4 www.sahavicha.com/ เพลง แม่ ก. กา สื่อภาษาไทย เพลง เป็นสื่อการเรียนการสอนที่เด็ก ๆ ชอบ และช่วยให้เด็กจำเนื้อหาที่เรียนได้ดี
5 www.sema.go.th/view/latest/thai สื่อภาษาไทยล่าสุด. แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านและการเขียนคำที่มีตัวสะกดไม่ตรงมาตรา • การพัฒนาแบบฝึกการอ่านเชิงวิเคราะห์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
6 www.sema.go.th/view/thai สื่อภาษาไทยยอดนิยม. สำนวน สุภาษิต หลักการอ่าน การเขียนรายงาน • กาพย์ •
การพัฒนาแบบฝึกการอ่านเชิงวิเคราะห์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย .
7 http://www.kroobannok.com/34626 สื่อภาษาไทย โดยใช้เทคนิค 5E
8 http://www.vcharkarn.com/vteacher/4 เทคนิคการสอนภาษาไทย โดย อนงค์ เชื้อนนท์
9 http://www.dekgeng.com/thai/korkai.html e-learning วิชาภาไทย แบบฝึกเขียน ก. ไก่
10 http://30wutani3.multiply.com/journal/item/4 เทคนิคการสอนภาษาไทยที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ

พืชผักสมุนไพร

พืชผักสมุนไพร
ลิงค์ รายละเอียด
1.http://www.samunpri.com/modules.php?name=Vegetable
ผักสมุนไพร นอกจากจะมีคุณค่าทางด้านอาหารแล้ว ยังมีคุณค่าทางกระตุ้นพลังเสริมสร้างสุขภาพ และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ปัจจุบันชีวิตคนกรุงเทพ ต้องประสบกับมลพิษหลายอย่าง เช่น อาหารเป็นพิษ และสภาวะแวดล้อมเป็นพิษ ในช่วงฤดูฝนนี้ ควรที่จะรับประทานอาหารให้พลังแข็งแรง เพื่อต่อต้านโรคภัยไข้เจ็บ
2.http://www.samunpri.com/modules.php?name=News&file=article&sid=55
ประโยชน์ใกล้ตัว พืชผักสวนครัวใกล้บ้าน
________________________________________
ที่จริงแล้วผักสวนครัวทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น โหระพา ขิง ข่า ตะไคร้ หรือใบสระแหน่ ก็ล้วนแต่มีประโยชน์ทั้งนั้น โดยเฉพาะสรรพคุณทางยาของความเป็นสมุนไพรไทยที่ใครได้ยินแล้วจะต้องบอกว่า สุดยอด เสมอ ว่าแล้ววันนี้ก็เลยอยากให้คุณๆ ได้รู้จักกับประโยชน์ของพืชผักสวนครัวเหล่านี้กัน
สมัยเด็กมักจะโดนคุณแม่ใช้ให้ไปเก็บพืชผักสวนครัวหลังบ้านบ่อยๆ บ้านหลังเล็กๆ ของเรามีพื้นที่เหลือเฟือสำหรับปลูกผักสวนครัวไว้ปรุงอาหารกินเอง แต่หลังจากย้ายตัวเองมาฝังตัวอยู่ที่เมืองหลวง ก็ได้มีพืชผักสวนครัวส่วนตัวไว้กินอีกเลย

3.http://www.doae.go.th/library/html/detail/menuveg.htm
ปลูกพืชสมุนไพรกันแมลง ให้ปลูกที่ขอบแปลงก่อน เช่น กุ๋ยฉ่าย คื่นฉ่าย และระหว่างแปลงก็ทำการปลูกกระเพรา โหระพา พริกต่างๆ เพื่อป้องกันแมลงก่อนที่จะทำการปลูกพืชผัก พอครบกำหนด 7 วัน พรวนดินอีกครั้งแล้วนำเมล็ดพันธุ์พืชมาหว่านแต่เมล็ดพันธุ์พืชส่วนใหญ่เป็นเมล็ดพันธุ์ที่คลุกสารเคมีจึงต้องนำเอาเมล็ดพันธุ์ผักมาล้าง โดยการนำน้ำที่มีความร้อน (50-55 C ) วัดได้ด้วยความรู้สึกของตัวเราเองคือเอานิ้วมือจุ่มลงไปถ้าทนความร้อนได้ก็ให้นำเมล็ดพันธุ์พืชแช่ลงไป นาน 30 นาที แล้วจึงนำขึ้นมาคลุกกับกากสะเดา หรือ สะเดาผงแล้วนำไปหว่านลงแปลงที่เตรียมไว้คลุมฟางและรดน้ำ

4.http://www.eto.ku.ac.th/neweto/e-book/veg_herb.html
พันธุขิง
พันธุขิงพอจําแนกออกเปน 2 ประเภทใหญ ๆ คือ
1. ขิงใหญหรือขิงหยวก
2. ขิงเล็กหรือขิงเผ็ด

5. http://www.homedd.com/HomeddWeb/servlet/homedd.A_garden.frontweb.FwVegetMain

ชะพลู Cha-plu ผักพื้นบ้านไทย ที่รูปใบเป็นทรงหัวใจ เส้นใบแยกจากโคนใบเห็นเส้นใบชัดเจน ใบสีเขียวเข้ม รสชาติเผ็ดเล็กน้อย เป็นไม้เลื้อยปลูกง่าย ชอบที่ชื้นแฉะ เนื่องจากชะพลูมีสารออกซาเลต(oxalate) ที่หากทานมากๆจะสะสมเป็นนิ่วในไตได้ แต่ถ้าทานใบชะพลูร่วมกับโปรตีน เช่นเนื้อหมู ไก่ แล้วก็ไม่เป็นปัญหา


ลิงค์ รายละเอียด
6. http://www.wiparatfood.com/ โหระพา (ผักสมุนไพร) เป็นพืชที่มีกลิ่นหอม ช่วยปรุงแต่งกลิ่นรสของอาหารให้น่ารับประทานยิ่งขึ้น ใบและยอดอ่อนใช้รับประทานเป็นผักสด และช่วยดับกลิ่นคาวของอาหาร เช่น แกงเลียง แกงเผ็ด ผัดต่างๆ เช่น ผัดหอย น้ำมันโหระพาใช้แต่งกลิ่นซอสมะเขือเทศ ขนมผิง ลูกอม ผักดอง ไส้กรอก และ เครื่องดื่มต่างๆ

7.http://www.tungsong.com/samunpai/Garden/index.html
ผักสวนครัวรั้วกินได้ การปลูกพืชผักสมุนไพร สำหรับใช้ในครัวเรือน นอกจากจะปลูกในสวน ในแปลง ในกระถาง หรือในภาชนะปลูกอื่น ๆ แล้ว พืชผักสมุนไพรหลายชนิดเราสามารถนำมาปลูกเป็นรั้วบ้านได้ ซึ่งนอกจากจะทำหน้าที่เป็นรั้ว คือ เครื่องล้อมกั้นเป็นเขตของบ้านที่มีความสวยงามดูแปลกตา แตกต่างไปจากรั้วบ้านชนิดอื่น ๆ แล้ว รั้วสมุนไพรยังให้ใบ ให้หน่อ ให้ผล ให้ดอก ให้เรานำไปเป็นอาหารและยารักษาโรคได้อีกด้วย

8.http://www.ezythaicooking.com/ingredients_1_th.html
การทำอาหารไทยให้อร่อย ต้องเริ่มต้นด้วยความพิถีพิถันในการเลือกซื้อ เครื่องปรุงที่สดใหม่ จัดเก็บเพื่อรอนำไปประกอบอาหารด้วยวิธีที่ถูกต้อง วัตถุดิบในส่วนของพืชผัก และสมุนไพรที่ใช้ในการทำอาหารไทยมีหลายประเภท อาหารไทยเป็นที่นิยมของคนทั่วโลกว่าเป็นอาหารเพื่อสุขภาพเพราะสรรพคุณทางยาของผักและสมุนไพรที่ใช้ในการปรุงอาหารเหล่านี้นั่นเอง
9. http://www.chs.ac.th/new/weerawan/plant.html
ในปัจจุบันการปลูกพืชผักสมุนไพรนอกจากจะปลูกเป็นสวนเพื่อจำหน่ายแล้ว ยังนิยมนำมาปลูกเป็นพืชผักสวนครัวอีกด้วย เช่น กะเพรา โหระพา อัญชัน เดือย บัวบก ผักบุ้งไทย พริกขี้หนู มะเขือเทศ มะนาว ฟักทอง มะกรูด มะขาม มะเขือพวง แค ชะพลู ขิง ข่า ตะไคร้ ตำลึง ถั่วแดง ส้มเขียวหวาน กล้วย มะม่วง ฝรั่ง มังคุด ขนุน มะละกอ ชมพู่ เป็นต้น

10. http://www.jabchai.com/main/view_joke.php?id=2165
ตำลึง--- สรรพคุณ เป็นยาดับพิษร้อนภายในร่างกาย ลดอาการไข้ เป็นยาระบายอ่อนๆ ผลดิบนำมาปรุงเป็นอาหารช่วยลดอาการเบาหวาน ใบสดๆ นำมาขยี้ให้ละเอียดเอาน้ำมาทาแก้อาการคัน ช่วยถอนพิษจากหนอนกัด และพิษจากหมามุ่ย ใช้หยอดตาแก้อาการตาแดง ตาเจ็บ

ปฐมวัย

ลิงค์ รายละเอียด
http://www.childthai.org/childrensroom/index.htm ประกอบด้วยห้องน่ารู้ กิจกรรมแสนสนุก นิทานฝันดี ห้องสมุดภาพ เกมส์ดีๆ ลิงค์คุณหนู แนะนำหนังสือเด็ก แหล่งเรียนรู้ มีกิจกรรมมากมายให้เด็กๆได้ลองทำและฝึกปฏิบัติรวมไปถึงเกมส์ใหม่ๆสาระน่ารู้ ไม่เป็นอันตรายกับเด็กๆแต่เป็นการฝึกทักษะการเรียนรู้สำหรับเด็กๆมีเนื้อหา สาระและยังมีนิทาน
http://www.plawan.com/game/index.php
เป็นแหล่งเกมส์สนุกๆสำหรับเด็กปฐมวัยที่สอดแทรกความรู้ไว้เต็มเปี่ยม
http;//www childthai.org/ เป็นข่าวการเคลื่อนไหวจากสถานที่ต่างๆและยังมีโปรแกรมวาดภาพพร้อมสอดแทรกความรู้เกี่ยวกับลูก
http://www.bkkchildrenmuseum.com/
เป็น เว็บที่เกี่ยวกับการจัดกิจกรรมของเด็กในแต่ละด้าน
http://www.tataya.com/
เป็นเว็ปที่ให้ความรู้เกี่ยวกับเด็ก มีเนื้อหาต่างๆ เกี่ยวกับเด็กที่น่าสนใจ มีบทความต่างๆ เกี่ยวกับเด็ก
http://www.Thaiparents.com
เป็นเว็ปที่เกี่ยวกับการให้ความรู้ในการดูแลบุตร อายุตั้งแต่ แรกเกิด ถึง 12 ปี มีการถามตอบปัญหาที่เกิดกับเด็ก อีกทั้งมีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการเลี้ยงดูบุตร
http://www.dekdek.com/entertaint.htm
ประกอบ ด้วยห้องนิทาน ห้องเกมส์ ห้องสาระน่ารู้กับหนูดำ บทความเด็กและครอบครัว ถ้าเพื่อนๆสนใจที่จะนำไปเป็นศึกษาก็สามารถทำได้เพราะมีประโยชน์มากสำหรับ เด็กปฐมวัย
http://www.tumbletots.co.th/tumbletots.asp
ประกอบไปด้วยโปรแกรมของทัมเบิ้ลทอทส์ 3 ช่วงอายุ ประโยชน์ของแต่ละโปรแกรมที่เหมาะสมกับช่วงอายุเด็ก
http://www.anamai.moph.go.th/env/cbb/nitan/ffan/ffan.htm
เป็นเว็บเกี่ยวกับนิทานของกองทัตสาธารณสุขกรมอานามัย เพื่อนๆ สนใจเข้ามาชมและนำไปสอนเด็ก ๆ ที่โรงเรียน
http://www.curistory.com/us/card/music.asp?code=m
เพลงเด็กน่ารักๆ กลอนเพราะๆ
http://www.dofordek.com/script/fangnitan/fangnitan.php
นิทานสำหับเด็ก
http://www.enchantedlearning.com/Rhymes.html
หัดระบายสีหน้าจอ

นิทานธรรมะ น่ารู้ ค้นจาก

นิทานธรรมะ น่ารู้ ค้นจาก......
ลิงค์ รายละเอียด
http://www.kalyanamitra.org
รวมนิทานชาดก หรือนิทานธรรมะ นิทานภาษาอังกฤษ คลิปนิทาน การ์ตูนสุภาษิต
http://www.dhammathai.org/dhammastory/index.php
นิทานชาดก นิทานธรรมะบันเทิง
http://audio.palungjit.com/f23/
นิทานธรรม จาก พระอาจารย์อาจารย์สมรัก ญาณธีโร
http://www.fungdham.com/fable-local.html
นิทานพื้นบ้าน นิทานชาดก นิยาย คลิปวิดีโอ ฝึกสติ
http://www.mindcyber.com/content/?action=cat&catid=6
นิทาน เรื่องสั้น เรื่องของคุณธรรม คติสอนใจ ที่บรรพชนได้ทำไว้เป็นแบบอย่างเล่าขานสืบต่อมา
http://www.buddhadasa.com/index_tale.html
นิทานธรรมะ นิทานเซ็น นิทานเรื่องสั้น
http://entertain.tidtam.com/data/12/0207-1.html
นิทานธรรมะ 184 เรื่อง
http://www.whitemedia.org/wma/content/category/3/3/15/
นิทานธรรมะสอนใจ มากมาย ทั้งนิทานพื้นบ้าน นิทานชาดก นิทานภาษาอังกฤษ
http://www.phrasomrak.com/index.php?option=com_content&view=article&id
นิทานธรรมะจาก พระอาจารย์สมรัก ญาณธีโร
http://www.tamdee.net/main/thread.php?fid-20.html
รวมนิทานธรรมะหรรษา
http://www.dhammathai.org/chadoknt/chadoknt.php
นิทานบันเทิงธรรม นิทานชาดก ในรูปแบบออดิโอซีดี

กีฬา...คือยาวิเศษ เว็ปลิงค์เกี่ยวกับกีฬา

กีฬา...คือยาวิเศษ เว็ปลิงค์เกี่ยวกับกีฬา
ลิงค์ รายละเอียด
http://www3.sat.or.th/organization/allow.asp ข้อมูลองค์กรกีฬา การขออนุญาตจัดตั้งสมาคม กำหนดการประชุม การจัดการแข่งขันและการจัดการส่งนักกีฬา ประกาศชนิดกีฬา การจัดสรรเงินอุดหนุน งบประมาณการเตรียมและส่งนักกีฬาเข้าร่วมแข่งขัน ผังโครงสร้างองค์กรกีฬา
http://www.fat.or.th/web/national.php ประวัติสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย สภากรรมการบริหารสมคม ปฏิทินกิจกรรมของสมาคม ปฎิทินการแข่งขันฟุตบอลของสมาคม
ข้อมูลนักฟุตบอลทีมชาติไทยรุ่นอายุต่างๆ
http://www.kat.or.th/public/aboutus.html สโมสรกาบัดดี้แห่งประเทศไทย ประวัติความเป็นมา ข่าวสารประชาสัมพันธ์และกิจกรรม กติกาการเล่น ทำเนียบ ประมวลภาพ
http://www.thaicycling.or.th/?cid=348259 ประวัติสโมสรจักรยานแห่งประเทศไทย ปฏิทินการแข่งขัน การขออนุญาตจัดการแข่งขัน กฎกติกาการแข่งขัน สาระน่ารู้เกี่ยวกับสมาคม
http://www.takraw.or.th/th/ คณะกรรมการบริหารสมาคมตะกร้อ ประวัติสมาคมตะกร้อ กฎกติกาการแข่งขัน ประวัติกีฬาตะกร้อ เทปการแข่งขัน
http://www.thaitva.or.th/html/association/
1association.html ทำเนียบผู้ฝึกสอน กฎกติกาการแข่งขัน ประวัติกีฬาวอลเลย์บอล สถาบันการสอนกีฬาวอลเลย์บอล ประวัติสมาคม คณะกรรมการบริหาร สโมสรสมาชิก นักกีฬาทีมชาติไทย กรรมการผู้ตัดสิน
http://www.aat.or.th/ ข่าวสารสมาคมกรีฑา ผลการแข่งขัน กติกาการแข่งขัน สถิติการแข่งขัน รายชื่อผู้ฝึกสอน
http://www.taekwondothai.com/history.php ประวัติความเป็นมาของกีฬาเทควันโด ประวัติความเป็นมาของสมาคมเทควันโด ข่าวสารสมาคม โปรแกรมการแข่งขัน ผู้บริหาร ข้อมูลนักกีฬา ผลการแข่งขัน ภาพการแข่งขัน
http://www.tasa.in.th/pro/history.php ประวัติสมาคมว่ายน้ำ ปฏิทินข่าว กีฬาว่ายน้ำ กีฬาโปโลน้ำ กีฬากระโดดน้ำ ระบำใต้น้ำ ผู้ตัดสิน สมัครสมาชิก รายชื่อสมาชิก

แหล่งเรียนรู้และเครือข่ายการเรียนรู้ที่เอื้อต่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต การสร้างหนังสืออีเล็กทรอนิกส์ (e – Book)

แหล่งเรียนรู้และเครือข่ายการเรียนรู้ที่เอื้อต่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต
หัวข้อที่ศึกษา การสร้างหนังสืออีเล็กทรอนิกส์ (e – Book)
ลำดับ Link รายละเอียด
1 http://ebook.nfe.go.th/nfe_ebook/data_ebook/171/7.pdf
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ e-Book
2 http://www.thaigoodview.com/node/186
ความเป็นมาเกี่ยวกับ e-Book
3 http://www.lms.cmru.ac.th/how_to_read.htm
การใช้งาน e-Book
4 http://www.horhook.com/wbi/dta/index.html
บทเรียนออนไลน์ เรื่อง การสร้าง e-Book ด้วย DeskTop Author
5 http://www.oknation.net/blog/freeday888/2009/09/08/entry-1
การสร้าง e-Book ด้วยโปรแกรม FlipAlbum
6 http://bu.lpc.rmutl.ac.th/naravit/e-book/
คู่มือเบื้องต้นการใช้งาน DeskTop Author
7 http://learn.wattano.ac.th/learn/ln2/courses/5/E-book.htm
การออกแบบ e-Book ด้วย Desktop Author
8 http://www.horhook.com/content/index.htm
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ลักษณะมัลติมีเดีย
9 http://61.91.205.171/flip_e_book/flip_publisher1.htm
การสร้าง E-book ด้วยโปรแกรม Flip Publisher
10 http://ebook.nfe.go.th/nfe_ebook/frontend/theme_1/index.php
แนะนำหนังสือ e-Book ของสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย

แหล่งเรียนรู้และเครือข่ายการเรียนรู้ที่เอื้อต่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต การสร้างหนังสืออีเล็กทรอนิกส์ (e – Book)

แหล่งเรียนรู้และเครือข่ายการเรียนรู้ที่เอื้อต่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต
หัวข้อที่ศึกษา การสร้างหนังสืออีเล็กทรอนิกส์ (e – Book)
ลำดับ Link รายละเอียด
1 http://ebook.nfe.go.th/nfe_ebook/data_ebook/171/7.pdf
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ e-Book
2 http://www.thaigoodview.com/node/186
ความเป็นมาเกี่ยวกับ e-Book
3 http://www.lms.cmru.ac.th/how_to_read.htm
การใช้งาน e-Book
4 http://www.horhook.com/wbi/dta/index.html
บทเรียนออนไลน์ เรื่อง การสร้าง e-Book ด้วย DeskTop Author
5 http://www.oknation.net/blog/freeday888/2009/09/08/entry-1
การสร้าง e-Book ด้วยโปรแกรม FlipAlbum
6 http://bu.lpc.rmutl.ac.th/naravit/e-book/
คู่มือเบื้องต้นการใช้งาน DeskTop Author
7 http://learn.wattano.ac.th/learn/ln2/courses/5/E-book.htm
การออกแบบ e-Book ด้วย Desktop Author
8 http://www.horhook.com/content/index.htm
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ลักษณะมัลติมีเดีย
9 http://61.91.205.171/flip_e_book/flip_publisher1.htm
การสร้าง E-book ด้วยโปรแกรม Flip Publisher
10 http://ebook.nfe.go.th/nfe_ebook/frontend/theme_1/index.php
แนะนำหนังสือ e-Book ของสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย

แหล่งเรียนรู้และเครือข่ายการเรียนรู้ที่เอื้อต่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต

แหล่งเรียนรู้และเครือข่ายการเรียนรู้ที่เอื้อต่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต
หัวข้อที่ศึกษา การสร้างหนังสืออีเล็กทรอนิกส์ (e – Book)
ลำดับ Link รายละเอียด
1 http://ebook.nfe.go.th/nfe_ebook/data_ebook/171/7.pdf
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ e-Book
2 http://www.thaigoodview.com/node/186
ความเป็นมาเกี่ยวกับ e-Book
3 http://www.lms.cmru.ac.th/how_to_read.htm
การใช้งาน e-Book
4 http://www.horhook.com/wbi/dta/index.html
บทเรียนออนไลน์ เรื่อง การสร้าง e-Book
ด้วย DeskTop Author
5 http://www.oknation.net/blog/freeday888/2009/09/08/entry-1
การสร้าง e-Book ด้วยโปรแกรม FlipAlbum
6 http://bu.lpc.rmutl.ac.th/naravit/e-book/
คู่มือเบื้องต้นเกี่ยวกับการใช้งาน
DeskTop Author
7 http://nustyle.multiply.com/journal/item/7
เว็บบล็อกการสร้าง e-Book
ด้วยโปรแกรม Desktop Author
8 http://learn.wattano.ac.th/learn/ln2/courses/5/E-book.htm
การออกแบบ e-Book
ด้วยโปรแกรม Desktop Author
9 http://www.horhook.com/content/index.htm
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ลักษณะมัลติมีเดีย
10 http://61.91.205.171/flip_e_book/flip_publisher1.htm
การสร้าง E-book ด้วยโปรแกรม
Flip Publisher
11 http://ebook.nfe.go.th/nfe_ebook/frontend/theme_1/index.php
แนะนำหนังสือ e-Book ของสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย
12 http://www.stks.or.th/elearning/index.php?mod=Courses&op=showcontent&cid=5&qid=&lid=29&sid=&page=&uid=
เทคนิคการสร้าง e-Book ด้วยวิธีที่ง่าย
และรวดเร็ว

แหล่งข้อมูลความรู้ออนไลน์ เกี่ยวกับกลุ่มสาระวิทยาศาสตร์ และ ดาราศาสตร์

แหล่งข้อมูลความรู้ออนไลน์
เกี่ยวกับกลุ่มสาระวิทยาศาสตร์ และ ดาราศาสตร์
ลำดับที่ ลิ้งค์ / แหล่งข้อมูล รายละเอียด
1. http://www.darasart.com/
• รวมเรื่องราวของดาราศาสตร์สำหรับคนไทย คุณจะได้พบกับ ข่าวสาร,บทความ , ความรู้ ประวัติเรื่องราวเกี่ยวกับ ดาว ความเป็นไปในเอกภพ ...
• ฝนดาวตกเจมินิต
• หอดูดาวสิรินธร ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีทั้งข้อมูลของหอดูดาว และห้องสนทนาเว็ปบอร์ด. Darasart Kid เว็บไซด์แนะนำความรู้ด้านดาราศาสตร์สำหรับเด็กๆ …
• กำเนิดของดวงอาทิตย์
2. http://thaiastro.nectec.or.th/
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ • บริษัท โกรวิ่งพอยท์ โอเอ แอนด์ เน็ทเวิร์ค จำกัด. สมาคมดาราศาสตร์ไทย .พบกับความรู้ เรื่องราว ข่าวสาร เกี่ยวกับ
• ระวังข่าวลือเรื่องดาวอังคาร
• หมวดโลกแตก 2012
• ปรากฏการณ์ท้องฟ้า
• แพน-สตาร์สค้นพบดาวเคราะห์น้อยอันตราย



3. http://www.ipst.ac.th/thaiversion/publications/in_sci/astronomy.shtml
• พบกับเรื่องราวเกี่ยวกับดาราศาสตร์ที่น่าสนใจ การดูดาวกับกูเกิล บทความ งานวิจัย ทางวิทยาศาสตร์
• รวมข้อสอบ สอวน วิทยาศาสตร์ ม.ต้น
• พบกับเรื่องราวดาราศาสตร์มหัศจรรย์ กลับสู่หน้าแรกของโฮมเพจฟิสิกส์ราชมงคล. ครั้ง ที่. เซ็นสมุดเยี่ยม. ดาราศาสตร์มหัศจรรย์.
4. http://www.doodaw.com/
• รวบรวม บทความ ข่าวสาร และสิ่งที่น่าสนใจ ในศาสตร์ความลี้ลับของดวงดาว จักรวาล เรื่องราวเกี่ยวกับดาราศาสตร์.
• รายชื่อเวปวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม
• โครงการพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์


5. http://www.rmutphysics.com/charud/astronomy/index.htm
• ดาราศาสตร์ในประเทศไทย • หอดูดาวแห่งแรกของประเทศไทย • พระบิดาแห่งดาราศาสตร์ไทย • เวลามาตรฐานของไทย • ปฏิทินอันแรกของโลก • แผนที่ดาวเก่าแก่ที่สุด ...
• เรื่องราวเกี่ยวกับดาราศาสตร์ หลุมดำ
6. http://sunflowercosmos.org/astronomy/astronomy_main/astronomy_main.html
• การรวมตัว กลุ่มฝุ่นหมอกควันของก๊าซ ที่แพร่กระจาย คือมวลสสาร (Matter) หากมีความ หนาแน่นและขนาดใหญ่เพียงพอ.
• ดาราศาสตร์ดึกดำบรรพ์ ถือกำเนิดขึ้น ด้วยความแตกต่าง ความเชื่อของศาสนาและวัฒนธรรม.
• พลังงานจักรวาล กาแลกซี่
7. http://www.lesa.in.th/
http://www.kruku.net/archives/category
• โครงการเรียนรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ โลก อวกาศ
• ศูนย์การเรียนรู้วิทยาศาสตร์โลกและดาราศาสตร์ (LESA) จะจัดกิจกรรมฝนดาวตก GEMINIDS 2010 ณ หอดูดาวเกิดแก้ว อำเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี .
• โลก ดาราศาสตร์ อวกาศ กล้องโทรทรรศน์(Telescope)

8.
http://www.space.mict.go.th/astronomer.php
http://etcommission.go.th/Space/astronomer.php?name=copernicus
• นักดาราศาสตร์เอกของโลก
9. http://student.sut.ac.th/astronomyclub/
http://www.airandspaceclub.com/forum/index.php?action=printpage;topic=624.0 • ชุมนุมนักดาราศาสตร์รุ่นเยาว์ เว็บดาราศาสตร์เพื่อคนไทย ...
• โปรแกรมดูดาว
• ธารน้ำแข็งบนดาวอังคาร
10. http://www.absorn.ac.th/webmul.htm
• เว็บมัลติมีเดียเพื่อการเรียนรู้ เรื่อง โลก ดาราศาสตร์และอวกาศ. โดย:นายทองคำ วิ รัตน์ โรงเรียนสตรีวัดอัปสรสวรรค์ สพท.กทม.เขต 3. Online:www.absorn.ac.th ...
11. http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/st2545/4-5/no31-39/darasart.html

• เรื่องราวของดาราศาสตร์ – วิกิพีเดีย
• ความหลากหลายเชิงกายภาพของดวงจันทร์ ความหลากหลายเชิงกายภาพของดาวเคราะห์ คริสต์ศาสนากับวิชาดาราศาสตร์ ดาราศาสตร์ในศตวรรษหน้า ...
• ดาราศาสตร์เป็นวิทยาศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดในบรรดาวิทยาศาสตร์ทั้งหลายมันเป็นการ ศึกษาดาวเคราะห์ ในเชิงวิทยาศาสตร์ ...
• ดาวเทียมสำรวจ
12. http://guru.google.co.th/guru/label?lid=63f4c5fcc2f05533
• เรื่องราวของความเชื่อ ดวงดาวกับราศี
13. http://www.science.cmu.ac.th/observatory/obv_bkup/Olympic.htm
• เรื่องราวเกี่ยวกับดาราศาสตร์โอลิมปิก
• ค่ายโอลิมปิกดาราศาสตร์ระดับ ม.ต้น ม.ปลาย
• โลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ
• ทางช้างเผือก

แหล่งการเรียนรู้ออนไลน์จาก WWW. ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจ เรื่องการวัดผลและประเมินผล

แหล่งการเรียนรู้ออนไลน์จาก WWW. ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจ เรื่องการวัดผลและประเมินผล วิชา CI6601เทคโนโลยีสารสนเทศในการพัฒนาหลักสูตรและการสอน

1.www.watpon.com/Elearning/mea1.htm
1. ความหมายของการวัดผล
2. ประเมินผล
3. ข้อแตกต่างระหว่างการประเมินผลแบบอิงกลุ่มและอิงเกณฑ์
2. http://reg.ksu.ac.th/teacher/yahvaret/lession1.html
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการวัดผลและประเมินผล
3. http://socialscience.igetweb.com/index.php?mo=3&art=91157
การวัดผลและการประเมินผลทางการศึกษา
4.http://lms.thaicyberu.go.th/officialtcu/main/advcourse/presentstu/course/ww521/joemsiit/joemsiit-web1/Bloom_/Bloom3.htm
ความสำคัญของการวัดและประเมินผลด้าน พุทธิสัย
5. http://netra.lpru.ac.th/~phaitoon/9999softmeas/unit6/index.html
1. สถิติที่ใช้การแปลความหมายของคะแนน
2. การสร้างธนาคารข้อสอบและแบบทดสอบ มาตรฐาน
3. สถิติที่ใช้ในการวัดผลและประเมินผลการศึกษา
6. http://netra.lpru.ac.th/~phaitoon/UNIT1/unit1/unit14.html
1. ประเภทของการประเมินผล
2. ธรรมชาติของการวัดผลการศึกษา
7. http://www.watpon.com/testtheory/
1. ประโยชน์ของการวัดผลการศึกษา
2. สถิติพื้นฐานทางการวัดและการ ทดสอบ

8. http://reg.ksu.ac.th/teacher/yahvaret/lession2.html
เครื่องมือที่ใช้ในการวัดผล
9. http://www.sahavicha.com/?name=blog&file=readblog&id=3141
หลักการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
10. http://www.suphet.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538682703&Ntype=3

แหล่งค้นคว้า สื่อการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์

สื่อการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์

แหล่งเรียนรู้และเครือข่ายการเรียนรู้บนเครือข่าย Internet
ที่เอื้อต่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต
เรื่อง สื่อการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์
Link
รายละเอียด

http://www.pyo1.net/krunoy/
สื่อการสอนคณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง การคูณ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง การสลับที่ของการคูณ บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน คณิตศาสตร์ เรื่องการคูณจำนวนที่มีหนึ่งหลักกับจำนวนที่มีสองหลัก

http://kruthaicp1.ning.com/video/5425428:Video:20932
สื่อการสอนคณิตศาสตร์สำหรับเด็ก สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาชุมพร เขต 1

http://esanhost.com/web_sakon/
วิชาคณิตศาสตร์ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เรื่อง เงิน

https://sites.google.com/site/friendnukoon/sux-kar-sxn-khnitsastr
สื่อการสอนคณิตศาสตร์ เรื่อง การบวกทศนิยม การลบทศนิยม

http://www.ripn-math.com
ศูนย์พัฒนาสื่อการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ โครงการวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะการคิดและแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-6

http://www.krupongsak.net/

ความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาสื่อการเรียนการสอน ตัวอย่างแบบฝึกทักษะ และแบบทดสอบวัดความรู้วิชาคณิตศาสตร์ระดับมัธยมศึกษา

http://sites.google.com/site/mathdmsu/home/sux-kar-sxn-khnitsastr

เว็บไซต์กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม(ฝ่ายมัธยม)

http://learners.in.th/blog/moteranu

เอกสารประกอบการเรียนการสอน คณิตศาสตร์ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3

http://www.sahavicha.com/?name=media

สื่อการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์ แบบทดสอบออนไลน์ ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 2

http://www.kruwut.net/unit3.pdf
บทความเกี่ยวกับการสร้างสื่อการเรียนรู้คณิตศาสตร์

โปรแกรมบทเรียนคอมพิวเตอร์

โปรแกรมบทเรียนคอมพิวเตอร์

การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1
http://www.caistudio.info/cai/science/science2/index.html
CAI ย่อมาจาก computer-assisted instruction หรือ computer-aided instruction คำนี้เป็นศัพท์ในสาขาวิชาคอมพิวเตอร์ และสาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งราชบัณฑิตยสถาน บัญญัติศัพท์ว่า “ซีเอไอ” หรือ “การสอนใช้คอมพิวเตอร์ช่วย” แต่คนทั่วไปนิยมเรียกว่า “คอมพิวเตอร์ช่วยสอน” ซึ่งมักอ้างอิงถึงซอฟแวร์ทางการศึกษาชนิดหนึ่ง ที่ถูกนำมาใช้เป็นส่วนสำคัญในกระบวนการเรียนการสอน CAI มีลักษณะเด่นสามประการคือ ประหยัด ได้ผล และฉลาด
ประเภทของบทเรียน
คอมพิวเตอร์ช่วยสอนได้แบ่งออกไว้เป็นประเภท ๆ ดังนี้ (กิดานันท์ มลิทอง,2536; ทักษิณา สวนานนท์,2530 ; ปรัชญนนท์ นิลสุข, 2538 ;ไพโรจน์ ตีรณธนากุล,2528 ;ผดุง อารยะวิญญู,2527)
1. แบบสอนซ่อมเสริมหรือทบทวน (Tutorials) เป็นบทเรียนเพื่อทบทวนการเรียนหรือสอนแทนครูในเฉพาะเนื้อหาบางตอน ที่ถูกจัดเนื้อหาไว้อย่างเป็นระบบต่อเนื่องกัน และผู้เรียนจะศึกษาไปตามลำดับของโปรแกรม มีการแทรกคำถามเพื่อตรวจสอบความเข้าใจของผู้เรียนแล้วแสดง
ผลย้อนกลับ (Feedback) ตลอดจนการเสริมแรง (Reinforcement) และยังสามารถให้ผู้เรียนย้อนกลับไปบทเรียนเดิมถ้ายังไม่เข้าใจหรือข้ามบทเรียนที่ผู้เรียนรู้แล้วไปได้ด้วย นอกจากนี้ยังสามารถบันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับผู้เรียนและผลการเรียนได้อีกด้วยบทเรียนลักษณะนี้เหมาะสมที่จะใช้สอนความคิดรวบยอดในด้านต่าง ๆ เป็นการสอนที่สอดคล้องกับลักษณะความแตกต่างระหว่างบุคคล
ของเด็กเพราะเด็กสามารถเรียนด้วยตนเองตามความสามารถและระดับสติปัญญาของตน
ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของสกินเนอร์ที่กล่าวว่า การเรียนรู้เกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขและสภาวะแวลล้อมที่เหมาะสม เพราะทฤษฎีนี้ต้องการเน้นเรื่องสิ่งแวดล้อม สิ่งสนับสนุนและการลงโทษ โดยพัฒนาจากทฤษฎีของ พาฟลอฟ และธอร์นไดค์ โดยสกินเนอร์มองว่าพฤติกรรมของมนุษย์เป็นพฤติกรรมที่กระทำต่อสิ่งแวดล้อมของตนเอง พฤติกรรมของมนุษย์จะคงอยู่ตลอดไป จำเป็นต้องมีการเสริมแรง ซึ่งการเสริมแรงนี้มีทั้งการเสริมแรงทางบวก (Positive Reinforcement) และการเสริมแรงทางลบ (Negative Reinforcement)

2. แบบฝึกหัดและปฏิบัติ (Drill and Practice) ส่วนใหญ่จะใช้เสริมการปฏิบัติหรือเสริมทักษะหลังจากครูสอนบทเรียนบางอย่างไปแล้วและให้ผู้เรียนทำแบบฝึกหัดจากคอมพิวเตอร์เพื่อวัดความเข้าใจ ทบทวน หรือเพิ่มความชำนาญ ลักษณะของแบบฝึกหัดที่นิยมมาก คือ แบบจับคู่ แบบถูก-ผิด และแบบเลือกคำตอบ เป็นบทเรียนที่ให้ผู้เรียนได้ทำแบบฝึกหัดหลังจากที่ได้เรียนเนื้อหานั้น ๆ หรือมีการฝึกซ้ำ ๆ เพื่อให้เกิดทักษะอาจจะเป็นทักษะด้านคณิตศาสตร์วิทยาศาสตร์ ช่างอุตสาหกรรม ภาษา เช่น การอ่านและการสะกดตัวอักษร เป็นต้น สิ่งสำคัญของการฝึกทักษะก็เพื่อเสริมการสอนของครู และช่วยให้ผู้เรียนมีทักษะเพิ่มขึ้นจากการฝึกซ้ำ ๆ และยังช่วยในด้านความจำและฝึกให้คิดอีกด้วย
ซึ่งสอดคล้องกับ ทฤษฎีของธอร์นไดค์ เรียกว่าทฤษฎีการเชื่อมโยง (Connectionism Theory) ทฤษฎีนี้กล่าวถึงการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้า (Stimulus - S) กับการตอบสนอง (Response - R) โดยมีหลักเบื้องต้นว่า “การเรียนรู้เกิดจากการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนอง โดยที่การตอบสนองมักจะออกมาเป็นรูปแบบต่าง ๆ หลายรูปแบบ จนกว่าจะพบรูปแบบที่ดี หรือเหมาะสมที่สุด เราเรียกการตอบสนองเช่นนี้ว่าการลองถูกลองผิด (Trial and error) นั่นคือการเลือกตอบสนองของผู้เรียนรู้จะกระทำด้วยตนเองไม่มีผู้ใดมากำหนดหรือชี้ช่องทางในการปฏิบัติให้และเมื่อเกิดการเรียนรู้ขึ้นแล้ว การตอบสนองหลายรูปแบบจะหายไปเหลือเพียงการตอบสนองรูปแบบเดียวที่เหมาะสมที่สุด และพยายามทำให้การตอบสนองเช่นนั้นเชื่อมโยงกับสิ่งเร้าที่ต้องการให้เรียนรู้ต่อไปเรื่อย ๆ
3. แบบสถานการณ์จำลอง (Simulation) เป็นการจำลองสถานการณ์ต่าง ๆ ให้ใกล้เคียงกับสถานการณ์จริงด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ใช้สอนหรือฝึกอบรมผู้เรียนในลักษณะที่สมจริง เพื่อให้มีโอกาสนำความรู้ที่เรียนมาทดลองและแก้ปัญหา สามารถมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งนั้นและได้รับปฏิกิริยาย้อนกลับเหมือนกับในสถานการณ์จริง เนื่องจากในบางบทเรียนไม่สามารถทดลองให้เห็นจริงได้ เช่น การเคลื่อนที่ของลูกปืนใหญ่ การเดินทางของแสง และการหักเหของคลื่แม่เหล็กไฟฟ้า ปรากฏการณ์ทางเคมี หรือชีววิทยาที่ต้องใช้เวลานานหลายวันจึงปรากฏผล การใช้คอมพิวเตอร์จำลองแบบให้ผู้เรียนเข้าใจบทเรียนได้ง่าย เช่น การสอนเรื่องคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า การขับรถเราสามารถสร้างจำลองเป็นรูปภาพด้วยคอมพิวเตอร์ ผู้เรียนได้เห็นจริงและเข้าใจง่าย ทั้งยังเป็นการลดค่าใช้จ่ายในเรื่องวัสดุอุปกรณ์ปฏิบัติการ ระยะเวลาและลดอันตรายได้

4. แบบเกมการเรียนการสอน (Instructional Games) เป็นการสอนเนื้อหาวิชาในรูปแบบของเกม และกิจกรรมที่ตื่นเต้นเร้าใจอยากให้เรียนรู้ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 แบบคือ แบบเกมการแข่งขัน และแบบการร่วมมือ เช่น เกมต่อคำ เกมเติมคำ เกมการคิดแก้ปัญหาเป็นกลุ่ม ฯลฯ โดยมีกติกาการแข่งขันและมีการแพ้ชนะเมื่อจบเกมแล้วผู้เรียนจะได้รับความรู้ และความสนุกสนานเพลิดเพลินไปพร้อม ๆ กันด้วยเนื่องจากคอมพิวเตอร์ช่วยสอนสามารถเสนอภาพกราฟิกที่มีสีสวยงามและทำเสียง ประกอบได้จึงทำให้ดึงดูดความสนใจของผู้เรียนได้เป็นอย่างดี
ซึ่งสอดคล้องกับ ทฤษฎีเครื่องหมาย (Sign Theory) เอ็ดเวิร์ด ซี. ทอลแมน (Edward C. Taolman) เป็นนักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ได้เสนอถึงทฤษฎีเครื่องหมาย หรือ ทฤษฎีความคาดหมาย (Expectancy Theory) ซึ่งปรับปรุงมาจากทฤษฎีการแสดงพฤติกรรมสู่จุดหมาย (Purposive behaviorism) โดย ทอลแมน กล่าวว่า “การเรียนรู้เกิดจากการใช้เครื่องหมายเป็นตัวชี้ทางให้แสดงพฤติกรรมไปสู่จุด หมายปลายทาง” ทฤษฎีของทอลแมนสรุปได้ดังนี้
1. ในการเรียนรู้ต่างๆ ผู้เรียนมีการคาดหมายรางวัล (reward expectancy) หากรางวัลที่คาดว่าจะได้รับไม่ตรงตามความพอใจและความต้องการ ผู้เรียนจะพยายามแสวงหารางวัลหรือสิ่งที่ต้องการต่อไป
2. ขณะที่ผู้เรียนจะพยายามไปให้ถึงจุดหมายปลายทางที่ต้องการ ผู้เรียนจะเกิดการเรียนรู้เครื่องหมาย สัญลักษณ์ สถานที่ (place learning) และสิ่งอื่นๆที่เป็นเครื่องชี้ตามไปด้วย
3. ผู้ เรียนมีความสามารถที่จะปรับการเรียนรู้ของตนไปตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป จะไม่กระทำซ้ำๆ ในทางที่ไม่สามารถสนองความต้องการ หรือวัตถุประสงค์ของตน
4. การ เรียนรู้ที่เกิดขึ้นในบุคคลใดบุคคลหนึ่งนั้น บางครั้งจะไม่แสดงออกในทันที อาจจะแฝงอยู่ในตัวผู้เรียนไปก่อนจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสมหรือจำเป็นจึงจะ แสดงออก (latent learning)
5. แบบการสอบ (Testing) เป็นการทดสอบผู้เรียนหลังจากที่ได้เรียนเนื้อหาหรือฝึกปฏิบัติไปแล้วด้วยคอมพิวเตอร์ มีการแจ้งผลให้ทราบทันทีที่ทดสอบเสร็จ และเมื่อครบทุกข้อแล้วจะประเมินผลการสอบของผู้เรียนนั้น ๆ ว่าผ่านหรือไม่ทันที
6. แบบการสาธิต (Demonstrations) ส่วนใหญ่เป็นการแสดงขั้นตอนทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ เช่น การโคจรของดาวพระเคราะห์ในระบบสุริยะ การเคลื่อนตัวของคลื่นเสียง เป็นต้น ซึ่งการสาธิตด้วยคอมพิวเตอร์จะดึงดูดความสนใจของผู้เรียนได้มาก
7. แบบการแก้ปัญหา (Problem Solving) จะเน้นให้ฝึกการคิด การตัดสินใจ โดยมีการกำหนดเกณฑ์ให้ แล้วผู้เรียนพิจารณาไปตามเกณฑ์มีการให้คะแนนหรือน้ำหนักกับเกณฑ์แต่ละข้อเช่น ในวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ซึ่งคอมพิวเตอร์แบบการแก้ปัญหาอาจแบ่งได้ 2 แบบ คือ แบบผู้เรียนเขียนโปรแกรมเองโดยมีลักษณะผู้เรียนเป็นผู้กำหนดปัญหาและเขียนโปรแกรมมาแก้ ปัญหาโดยคอมพิวเตอร์จะช่วยคิดคำนวณและหาคำตอบที่ถูกต้องให้และโปรแกรมที่มีผู้เขียนไว้แล้ว เพื่อช่วยแก้ปัญหาให้กับผู้เรียน จะมีลักษณะใช้คอมพิวเตอร์ช่วยคำนวณในขณะที่ผู้เรียนจัดการกับปัญหานั้น ๆ อยู่
8. แบบบทสนทนา (Dialogue) เป็นการเลียนแบบการสอนในห้องเรียน กล่าวคือพยายามให้เป็นการพูดคุยระหว่างผู้สอนและผู้เรียน แต่ว่าแทนที่จะใช้เสียง ก็เป็นตัวอักษรบนจอภาพแล้วมีการสอนด้วยการตั้งปัญหาถาม ลักษณะในการใช้แบบสอบถามก็เป็นการแก้ปัญหาอย่างหนึ่ง เช่นบทเรียนวิชาเคมี อาจถามหาสารเคมีบางชนิด ผู้เรียนอาจโต้ตอบด้วยการใส่ชื่อสารเคมีให้เป็นคำตอบ
9. แบบสร้างสถานการณ์ให้ค้นพบ (Discovery) เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้จากประสบการณ์ของตนเองมากที่สุดโดยคอมพิวเตอร์ช่วยสอนสามารถใช้ในการค้นหาข้อเท็จจริง ความคิดรวบยอด หรือข่าวสารที่เป็นประโยชน์ ในแบบให้ข้อมูลข่าวสารนี้ คอมพิวเตอร์ช่วยสอนจะมีแหล่งเก็บข้อมูลที่มีประโยชน์ ซึ่งสามารถแสดงได้ทันทีเมื่อผู้เรียนต้องการ ด้วยระบบง่าย ๆ ที่ผู้เรียนสามารถทำได้ เพียงกดหมายเลข หรือใส่รหัสหรือตัวย่อของแหล่งข้อมูลนั้น ๆ การใส่รหัสหรือหมายเลขของผู้เรียนนี้ จะทำให้คอมพิวเตอร์ช่วยสอนแสดงข้อมูล ซึ่งจะตอบคำถาม
ของผู้เรียนตามต้องการ
สอดคล้องกับทฤษฎีพัฒนาการทางสติ ปัญญาของบรุนเนอร์ บรุนเนอร์ (Bruner) เป็นนักจิตวิทยาที่สนใจเรื่องของพัฒนาการทางสติปัญญาต่อเนื่องจากเพียเจต์ บรุนเนอร์เชื่อว่ามนุษย์เลือกที่จะรับรู้สิ่งที่ตนเองสนใจ และการเรียนรู้เกิดจากกระบวนการค้นพบด้วยตัวเอง (discovery learning) แนวคิดที่สำคัญของบรุนเนอร์มีดังนี้
ทฤษฎีการเรียนรู้
1. การจัดโครงสร้างของความรู้ให้มีความสัมพันธ์และสอดคล้องกับพัฒนาการทางสติ ปัญญาของเด็ก มีผลต่อการเรียนรู้ของเด็ก
2. การจัดหลักสูตรและการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับระดับความพร้อมของผู้เรียน และสอดคล้องกับพัฒนาการทางสติปัญญาของผู้เรียนจะช่วยให้การเรียนรู้เกิด ประสิทธิภาพ
3. การคิดแบบหยั่งรู้ (intuition) เป็นการคิดหาเหตุผลอย่างอิสระที่สามารถพัฒนาความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ได้
4. แรงจูงใจภายในเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ผู้เรียนประสบผลสำเร็จในการเรียน รู้
5. ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของมนุษย์ แบ่งได้เป็น 3 ขั้น ใหญ่ๆ คือ
5.1 ขั้นการเรียนรู้จากการกระทำ (Enactive Stage) คือ ขั้นของการเรียนรู้จากการใช้ประสาทสัมผัสรับรู้สิ่งต่างๆ การลงมือกระทำช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้ได้ดี การเรียนรู้เกิดจากการกระทำ
5.2 ขั้นการเรียนรู้จากความคิด (Iconic Stage) เป็นขั้นที่เด็กสามารถสร้างมโนภาพในใจได้ และสามารถเรียนรู้จากภาพ แทนของจริงได้
5.3 ขั้นการเรียนรู้สัญลักษณ์และนามธรรม (Symbolic Stage) เป็นขั้นการเรียนรู้สิ่งที่ซับซ้อนและเป็นนามธรรมได้
6. การเรียนรู้เกิดได้จากการที่คนเราสามารถสร้างความคิดรวบยอด หรือสามารถสร้างหรือสามารถจัดประเภทของสิ่งต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม
7. การเรียนรู้ที่ได้ผลดีที่สุดคือการให้ผู้เรียนค้นพบการเรียนรู้ด้วยตนเอง (discovery learning)

10. แบบการสอน (Instruction) เพื่อใช้สอนความรู้ใหม่ ๆ แทนครู ซึ่งจะเป็นรูปแบบของการศึกษาด้วยตนเอง (Self Study Package) เป็นรูปแบบที่ต้องใช้ทักษะในการพัฒนาที่สูงมาก เพราะยากกว่าการพัฒนาชุดการสอนแบบโมดูลหรือแบบโปรแกรม ที่เป็นตำรา ซึ่งปัจจุบันนี้ได้มีการพัฒนาขึ้นใช้บ้างแล้ว โดยเฉพาะ IMMCAI บน Internet
11. แบบรวมวิธีการต่าง ๆ เข้าด้วยกัน (Comvination) คอมพิวเตอร์สามารถสร้างวิธีการสอนหลายแบบรวมกันได้ ตามธรรมชาติของการเรียนการสอน ซึ่งมีความต้องการวิธีการสอนหลายๆ แบบ ความต้องการนี้จะมาจาก การกำหนดวัตถุประสงค์ในการเรียนการสอน ผู้เรียนและ
องค์ประกอบ หรือภารกิจต่าง ๆ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอนหนึ่งอาจมีทั้งลักษณะที่เป็นการใช้เพื่อการสอนซ่อมเสริมหรือทบทวน ( Tutorials)เกมการเรียนการสอน (Instructional Games) รวมทั้งประสบการณ์การแก้ปัญหา ( Problem Solving) ได้อีกด้วย
ชนิดของเครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนา
เครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนา CAI แบ่งออกเป็นสี่กลุ่มคือ:
1. ภาษาโปรแกรมระดับสูง (high-level languages) เช่น BASIC, Pascal, Logo และ C
2. ภาษานิพนธ์บทเรียน (authoring languages) เช่น Coursewriter, Pilot และ Tutor
3. ระบบนิพนธ์บทเรียน (authoring systems) เช่น PHOENIX, DECAL, Icon-Author, InfoWindow, LS1, SOCRATIC และ Authorware
4. เครื่องช่วยนิพนธ์บทเรียน (authoring utilities) ซึ่งแบ่งออกได้อีกหลายชนิด เช่น lesson shell (ตัวอย่างโปรแกรม: Apple Shell Games), code generator (ตัวอย่างโปรแกรม: Screen Sculptor) และ library routines
สำหรับระบบนิพนธ์บทเรียนของคนไทยที่เป็นที่รู้จักโดยทั่วไป ได้แก่ โปรแกรมจุฬา C.A.I. ของ นพ.พิสนธิ์ จงตระกูล ซึ่งได้รับการพัฒนามาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2527
การตัดสินเลือกใช้เครื่องมือชนิดใด หรือการพิจารณาว่าเครื่องมือใดเหมาะกับคุณ ขอให้เริ่มคิดเสียก่อนว่า แท้ที่จริงแล้ว มีความจำเป็นเพียงใดที่จะต้องสร้างบทเรียนนั้น บางที บทเรียนที่คุณต้องการ อาจมีวางจำหน่ายอยู่แล้ว และหากว่าไม่มี ก็ขอให้คิดถึงการสร้างบทเรียนด้วยระบบนิพนธ์บทเรียน เนื่องจากใช้งานง่ายและช่วยประหยัดเวลาได้มากในการพัฒนาบทเรียน ทั้งนี้ ให้เข้าใจว่า บทเรียน CAI โดยทั่วไปที่ใช้สอนได้เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงนั้น ต้องการเวลาในการพัฒนากว่า 200 ชั่วโมงทีเดียว
การออกแบบระบบการเรียนการสอน (Instructional System Design หรือ ISD)
บางท่านอาจจะเคยได้ยินคำว่า ADDIE มาบ้าง ADDIE ไม่ใช่ชาวอเมริกันที่เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย หากแต่เป็นขั้นตอนในการออกแบบระบบการเรียนการสอนที่เราใช้ในการพัฒนาสื่อการ เรียนการสอน ซึ่งเราใช้มันในการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนด้วยเช่นกัน กระบวนการในการออกแบบระบบการเรียนการสอนนี้ ประกอบด้วยการดำเนินงานต่างๆ 5 ขั้นตอน ดังนี้
1. ขั้นวิเคราะห์ (Analysis) กำหนดเนื้อหาที่จำเป็นจะต้องสอน
2. ขั้นออกแบบ (Design)เลือกวิธีการและวัสดุที่จะใช้ในการสอน จัดระเบียบวัสดุให้อยู่ในรูปแบบที่มีประสิทธิผล
3. ขั้นพัฒนา (Developing)ทำให้วัสดุที่จะใช้สำหรับวิธีการที่เลือกมีความสมบูรณ์มากขึ้น
4. ขั้นลงมือ (Implementation)ติดตั้งและรัน (install and run) โปรแกรมการสอนลงในเครื่องคอมพิวเตอร์ในห้องเรียน หรือในสภาพที่ใช้ในการเรียนรู้
5. ขั้นประเมินผล (Evaluation)ระบุถึงผลลัพธ์ที่ได้ ว่าเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการสอนที่ต้องการหรือไม่

คอมพิวเตอร์ช่วยสอนมีทั้งข้อดีและข้อจำกัดพอจะสรุปได้ดังนี้ (กิดานันท์ มลิทอง,2536; กรุณา สืบอุดม,2536 ; วารินทร์ รัศมีพรหม,2531)

ข้อดีของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน

1. คอมพิวเตอร์จะช่วยเพิ่มแรงจูงใจในการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน เนื่องจากการเรียนด้วยคอมพิวเตอร์นั้นเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ และมีผลย้อนกลับมาได้เร็วทันที โดยไม่ต้องรอครูผู้สอน
2. การใช้สี ภาพกราฟิกที่มีการเคลื่อนไหว เสียงดนตรี ซึ่งเป็นการเพิ่มความเหมือนจริงและดึงดูดใจผู้เรียนให้อยากเรียนรู้ ทำแบบฝึกหัดหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ เหล่านี้เป็นต้น
3. ความสามารถของหน่วยความจำของเครื่องคอมพิวเตอร์ จะช่วยในการบันทึกพฤติกรรมต่าง ๆ ของผู้เรียนไว้เพื่อใช้ในการวางแผนบทเรียนในขั้นต่อไปได้
4. การเก็บข้อมูลของเครื่องทำให้สามารถนำไปใช้ในลักษณะของการศึกษารายบุคคลได้เป็น อย่างดี โดยสามารถกำหนดบทเรียนให้แก่ผู้เรียนแต่ละคน และแสดงผลความก้าวหน้าให้เห็นได้ทันที
5. ลักษณะโปรแกรมบทเรียนที่ให้ความเป็นส่วนตัวแก่ผู้เรียน เป็นการช่วยให้ผู้เรียนที่เรียนช้าสามารถเรียนไปได้ตามความสามารถของตน โดยสะดวกอย่างช้า ๆ โดยไม่ต้องอายผู้อื่น และไม่ต้องอายเครื่องเมื่อตอบผิด และผู้เรียนเรียนที่ไหน เมื่อไหร่ก็ได้ เนื่องจากปัจจุบันเราได้ใช้ระบบการสื่อสารทางด้านคอมพิวเตอร์ติดต่อหรือค้นคว้าด้วยตนเองอยู่ตลอดเวลา
6. เป็นการช่วยขยายขีดความสามารถของครู ในการควบคุมผู้เรียนได้อย่างใกล้ชิด เนื่องจากสามารถบรรจุข้อมูลได้ง่ายและสะดวกในการนำออกมาใช้

ข้อจำกัดของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน

1. ใช้วิธีการเร้าความสนุกมากเกินไป ซึ่งบทเรียนบางบทเรียนที่เน้นความสนุก โดยนำเข้าไปแทรกในบทเรียน บางทีอาจจะไม่มีสาระต่อการเรียนรู้ก็ได้
2. การออกแบบโปรแกรมของคอมพิวเตอร์ใช้ในการเรียนการสอนนั้น ยังพัฒนาไปได้ไม่มากนัก เมื่อเทียนกับการออกแบบโปรแกรมเพื่อใช้ในวงการด้านอื่น ๆ และยังไม่มีการนำมาใช้อย่างแพร่หลาย
3. เนื้อหาไม่ตรงกับสาระวิชาหรือหลักสูตร ซึ่งอาจจะยังไม่เป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่แท้จริง ที่จะสามารถนำมาสอนได้
4. การที่จะให้ครูผู้สอนเป็นผู้ออกแบบโปรแกรมบทเรียนเองนั้น นับว่าเป็นงานที่ต้องอาศัยเวลา สติปัญญา ความชำนาญและความสามารถเป็นพิเศษ ทำให้เป็นการเพิ่มภาระของครูผู้สอนให้มีมากยิ่งขึ้น
5. ผู้เรียนบางคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เรียนที่เป็นผู้ใหญ่ อาจจะไม่ชอบโปรแกรมที่เรียนตามขั้นตอน ทำให้เป็นอุปสรรคในการเรียนรู้ได้
6. โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอนจำนวนมาก ไม่มีความเป็นธรรมชาติเหมือนอยู่ในห้องเรียน

แนวความคิดของกาเย่ เพื่อให้ได้บทเรียนที่เกิดจากการออกแบบคอมพิวเตอร์ช่วยสอนในลักษณะการเรียนการสอนจริง โดยยึดหลักการนำเสนอเนื้อหาและจัดกิจกรรมการเรียนรู้จากการมีปฏิสัมพันธ์ หลักการสอนทั้ง 9 ประการได้แก่

* เร่งเร้าความสนใจ (Gain Attention)
* บอกวัตถุประสงค์ (Specify Objective)
* ทบทวนความรู้เดิม (Activate Prior Knoeledge)
* นำเสนอเนื้อหาใหม่ (Present New Information)
* ชี้แนะแนวทางการเรียนรู้ (Guide Learning)
* กระตุ้นการตอบสนองบทเรียน (Elicit Response)
* ให้ข้อมูลย้อนกลับ (Provide Feedback)
* ทดสอบความรู้ใหม่ (Assess Performance)
* สรุปและนำไปใช้ (Review and Transfer)
รายละเอียดแต่ละขั้นตอน มีดังนี้
1. เร่งเร้าความสนใจ (Gain Attention)
ก่อนที่จะเริ่มการนำเสนอเนื้อหาบทเรียน ควรมีการจูงใจและเร่งเร้าความสนใจให้ผู้เรียนอยากเรียน ดังนั้น บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนจึงควรเริ่มด้วยการใช้ภาพ แสง สี เสียง หรือใช้สื่อประกอบกันหลายๆ อย่าง โดยสื่อที่สร้างขึ้นมานั้นต้องเกี่ยวข้องกับเนื้อหาและน่าสนใจ ซึ่งจะมีผลโดยตรงต่อความสนใจของผู้เรียน นอกจากเร่งเร้าความสนใจแล้ว ยังเป็นการเตรียมความพร้อมให้ผู้เรียนพร้อมที่จะศึกษาเนื้อหาต่อไปในตัวอีกด้วย ตามลักษณะของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน การเร่งเร้าความสนใจในขั้นตอนแรกนี้ก็คือ การนำเสนอบทนำเรื่อง (Title) ของบทเรียนนั่นเอง ซึ่งหลักสำคัญประการหนึ่งของการออกแบบในส่วนนี้คือ ควรให้สายตาของผู้เรียนอยู่ที่จอภาพ โดยไม่พะวงอยู่ที่แป้นพิมพ์หรือส่วนอื่นๆ แต่ถ้าบทนำเรื่องดังกล่าวต้องการตอบสนองจากผู้เรียนโดยการปฏิสัมพันธ์ผ่านทางอุปกรณ์ป้อนข้อมูล ก็ควรเป็นการตอบสนองที่ง่ายๆ เช่น กดแป้น Spacebar คลิกเมาส์ หรือกดแป้นพิมพ์ตัวใดตัวหนึ่งเป็นต้น

สิ่งที่ต้องพิจารณาเพื่อเร่งเร้าความสนใจของผู้เรียนมีดังนี้
1. เลือกใช้ภาพกราฟฟิกที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา เพื่อเร่งเร้าความสนใจในส่วนของบทนำเรื่อง โดยมีข้อพิจารณาดังนี้
* 1.1 ใช้ภาพกราฟฟิกที่มีขนาดใหญ่ชัดเจน ง่าย และไม่ซับซ้อน
* 1.2 ใช้เทคนิคการนำเสนอที่ปรากฏภาพได้เร็ว เพื่อไม่ให้ผู้เรียนเบื่อ
* 1.3 ควรให้ภาพปรากฏบนจอภาพระยะหนึ่ง จนกระทั่งผู้เรียนกดแป้นพิมพ์ใดๆ จึงเปลี่ยนไปสู่แฟรมอื่นๆ เพื่อสร้างความคุ้นเคยให้กับผู้เรียน
* 1.4 เลือกใช้ภาพกราฟฟิกที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา ระดับความรู้ และเหมาะสมกับวัยของผู้เรียน
2. ใช้ภาพเคลื่อนไหวหรือใช้เทคนิคการนำเสนอภาพผลพิเศษเข้าช่วย เพื่อแสดงการเคลื่อนไหวของภาพ แต่ควรใช้เวลาสั้นๆ และง่าย
3. เลือกใช้สีที่ตัดกับฉากหลังอย่างชัดเจน โดยเฉพาะสีเข้ม
4. เลือกใช้เสียงที่สอดคล้องกับภาพกราฟฟิกและเหมาะสมกับเนื้อหาบทเรียน
5. ควรบอกชื่อเรื่องบทเรียนไว้ด้วยในส่วนของบทนำเรื่อง

2. บอกวัตถุประสงค์ (Specify Objective)
วัตถุ ประสงค์ของบทเรียน นับว่าเป็นส่วนสำคัญยิ่งต่อกระบวนการเรียนรู้ ที่ผู้เรียนจะได้ทราบถึงความคาดหวังของบทเรียนจากผู้เรียน นอกจากผู้เรียนจะทราบถึงพฤติกรรมขั้นสุดท้ายของตนเองหลังจบบทเรียนแล้ว จะยังเป็นการแจ้งให้ทราบล่วงหน้าถึงประเด็นสำคัญของเนื้อหา รวมทั้งเค้าโครงของเนื้อหาอีกด้วย การที่ผู้เรียนทราบถึงขอบเขตของเนื้อหาอย่างคร่าวๆ จะช่วยให้ผู้เรียนสามารถผสมผสานแนวความคิดในรายละเอียดหรือส่วนย่อยของ เนื้อหาให้สอดคล้องและสัมพันธ์กับเนื้อหาในส่วนใหญ่ได้ ซึ่งมีผลทำให้การเรียนรู้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากจะมีผลดังกล่าวแล้ว ผลการวิจัยยังพบด้วยว่า ผู้เรียนที่ทราบวัตถุประสงค์ของการเรียนก่อนเรียนบทเรียน จะสามารถจำและเข้าใจในเนื้อหาได้ดีขึ้นอีกด้วย วัตถุประสงค์บทเรียนจำแนกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ วัตถุประสงค์ทั่วไป และวัตถุประสงค์เฉพาะ หรือวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม การบอกวัตถุประสงค์ของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนมักกำหนดเป็นวัตถุประสงค์ เชิงพฤติกรรม เนื่องจากเป็นวัตถุประสงค์ที่ชี้เฉพาะ สามารถวัดได้และสังเกตุได้ ซึ่งง่ายต่อการตรวจวัดผู้เรียนในขั้นสุดท้าย อย่างไรก็ตามวัตถุประสงค์ทั่วไปก็มีความจำเป็นที่จะต้องแจ้งให้ผู้เรียนทราบ ถึงเค้าโครงเนื้อหาแนวกว้างๆ เช่นกัน

สิ่งที่ต้องพิจารณาในการบอกวัตถุประสงค์บทเรียน มีดังนี้

1. บอกวัตถุประสงค์โดยเลือกใช้ประโยคสั้นๆ แต่ได้ใจความ อ่านแล้วเข้าใจ ไม่ต้องแปลความอีกครั้ง
2. หลีกเลี่ยงการใช้คำที่ยังไม่เป็นที่รู้จัก และเป็นที่เข้าใจของผู้เรียนโดยทั่วไป
3. ไม่ควรกำหนดวัตถุประสงค์หลายข้อเกินไปในเนื้อหาแต่ละส่วนๆ ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนเกิดความสับสน หากมีเนื้อหามาก ควรแบ่งบทเรียนออกเป็นหัวเรื่องย่อยๆ
4. ควรบอกการนำไปใช้งานให้ผู้เรียนทราบด้วยว่า หลังจากจบบทเรียนแล้วจะสามารถนำไปประยุกต์ใช้ทำอะไรได้บ้าง
5. ถ้าบทเรียนนั้นประกอบด้วยบทเรียนย่อยหลายหัวเรื่อง ควรบอกทั้งวัตถุประสงค์ทั่วไป และวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม โดยบอกวัตถุประสงค์ทั่วไปในบทเรียนหลัก และตามด้วยรายการให้เลือก หลังจากนั้นจึงบอกวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมของแต่ละบทเรียนย่อยๆ
6. อาจ นำเสนอวัตถุประสงค์ให้ปรากฏบนจอภาพทีละข้อๆ ก็ได้ แต่ควรคำนึงถึงเวลาการนำเสนอให้เหมาะสม หรืออาจให้ผู้เรียนกดแป้นพิมพ์เพื่อศึกษาวัตถุประสงค์ต่อไปทีละข้อก็ได้
7. เพื่อให้การนำเสนอวัตถุประสงค์น่าสนใจยิ่งขึ้น อาจใช้กราฟฟิกง่ายๆ เข้าช่วย เช่น ตีกรอบ ใช้ลูกศร และใช้รูปทรงเรขาคณิต แต่ไม่ควรใช้การเคลื่อนไหวเข้าช่วย โดยเฉพาะกับตัวหนังสือ

3. ทบทวนความรู้เดิม (Activate Prior Knowledge)
การ ทบทวนความรู้เดิมก่อนที่จะนำเสนอความรู้ใหม่แก่ผู้เรียน มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหาวิธีการประเมิน ความรู้ที่จำเป็นสำหรับบทเรียนใหม่ เพื่อไม่ให้ผู้เรียนเกิดปัญหาในการเรียนรู้ วิธีปฏิบัติโดยทั่วไปสำหรับบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนก็คือ การทดสอบก่อนบทเรียน (Pre-test) ซึ่งเป็นการประเมินความรู้ของผู้เรียน เพื่อทบทวนเนื้อหาเดิมที่เคยศึกษาผ่านมาแล้ว และเพื่อเตรียมความพร้อมในการรับเนื้อหาใหม่ นอกจากจะเป็นการตรวจวัดความรู้พื้นฐานแล้ว บทเรียนบางเรื่องอาจใช้ผลจากการทดสอบก่อนบทเรียนมาเป็นเกณฑ์จัดระดับความ สามารถของผู้เรียน เพื่อจัดบทเรียนให้ตอบสนองต่อระดับความสามารถของผู้เรียน เพื่อจัดบทเรียนให้ตอบสนองต่อระดับความสามารถที่แท้จริงของผู้เรียนแต่ละคน

แต่ อย่างไรก็ตาม ในขั้นการทบทวนความรู้เดิมนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นการทดสอบเสมอไป หากเป็นบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่สร้างขึ้นเป็นชุดบทเรียนที่เรียนต่อ เนื่องกันไปตามลำดับ การทบทวนความรู้เดิม อาจอยู่ในรูปแบบของการกระตุ้นให้ผู้เรียนคิดย้อนหลังถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้ มาก่อนหน้านี้ก็ได้ การกระตุ้นดังกล่าวอาจแสดงด้วยคำพูด คำเขียน ภาพ หรือผสมผสานกันแล้วแต่ความเหมาะสม ปริมาณมากน้อยเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับเนื้อหา ตัวอย่างเช่น การนำเสนอเนื้อหาเรื่องการต่อตัวต้านทานแบบผสม ถ้าผู้เรียนไม่สามารถเข้าใจวิธีการหาความต้านทานรวม กรณีนี้ควรจะมีวิธีการวัดความรู้เดิมของผู้เรียนก่อนว่ามีความเข้าใจเพียงพอ ที่จะคำนวณหาค่าต่างๆ ในแบบผสมหรือไม่ ซึ่งจำเป็นต้องมีการทดสอบก่อน ถ้าพบว่าผู้เรียนไม่เข้าใจวิธีการคำนวณ บทเรียนต้องชี้แนะให้ผู้เรียนกลับไปศึกษาเรื่องการต่อตัวต้านทานแบบอนุกรม และแบบขนานก่อน หรืออาจนำเสนอบทเรียนย่อยเพิ่มเติมเรื่องดังกล่าว เพื่อเป็นการทบทวนก่อนก็ได้

สิ่งที่จะต้องพิจารณาในการทบทวนความรู้เดิม มีดังนี้
1. ควรมีการทดสอบความรู้พื้นฐานหรือนำเสนอเนื้อหาเดิมที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมความพร้อมผู้เรียนในการเข้าสู่เนื้อหาใหม่ โดยไม่ต้องคาดเดาว่าผู้เรียนมีพื้นความรู้เท่ากัน
2. แบบทดสอบต้องมีคุณภาพ สามารถแปลผลได้ โดยวัดความรู้พื้นฐานที่จำเป็นกับการศึกษาเนื้อหาใหม่เท่านั้น มิใช่แบบทดสอบเพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแต่อย่างใด
3. การทบทวนเนื้อหาหรือการทดสอบ ควรใช้เวลาสั้นๆ กระชับ และตรงตามวัตถุประสงค์ของบทเรียบนมากที่สุด
4. ควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนออกจากเนื้อหาใหม่หรือออกจากการทดสอบ เพื่อไปศึกษาทบทวนได้ตลอดเวลา
5. ถ้าบทเรียนไม่มีการทดสอบความรู้พื้นฐานเดิม บทเรียนต้องนำเสนอวิธีการกระตุ้นให้ผู้เรียนย้อนกลับไปคิดถึงสิ่งที่ศึกษาผ่านมาแล้ว หรือสิ่งที่มีประสบการณ์ผ่านมาแล้ว โดยอาจใช้ภาพประกอบในการกระตุ้นให้ผู้เรียนย้อนคิด จะทำให้บทเรียนน่าสนใจยิ่งขึ้น

4. นำเสนอเนื้อหาใหม่ (Present New Information)
หลักสำคัญในการนำเสนอเนื้อหาของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนก็คือ ควรนำเสนอภาพที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาประกอบกับคำอธิบายสั้นๆ ง่าย แต่ได้ใจความ การใช้ภาพประกอบ จะทำให้ผู้เรียนเข้าใจเนื้อหาง่ายขึ้น และมีความคงทนในการจำได้ดีกว่าการใช้คำอธิบายเพียงอย่างเดียว โดยหลักการที่ว่า ภาพจะช่วยอธิบายสิ่งที่เป็นนามธรรมให้ง่ายต่อการรับรู้ แม้ในเนื้อหาบางช่วงจะมีความยากในการที่จะคิดสร้างภาพประกอบ แต่ก็ควรพิจารณาวิธีการต่างๆ ที่จะนำเสนอด้วยภาพให้ได้ แม้จะมีจำนวนน้อย แต่ก็ยังดีกว่าคำอธิบายเพียงคำเดียว ภาพที่ใช้ในบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนจำแนกออกเป็น 2 ส่วนหลักๆ คือ ภาพนิ่ง ได้แก่ ภาพลายเส้น ภาพ 2 มิติ ภาพ 3 มิติ ภาพถ่ายของจริง แผนภาพ แผนภูมิ และกราฟ อีกส่วนหนึ่งได้แก่ภาพเคลื่อนไหว เช่น ภาพวิดิทัศน์ ภาพจากแหล่งสัญญาณดิจิตอลต่างๆ เช่น จากเครื่องเล่นภาพโฟโต้ซีดี เครื่องเล่นเลเซอร์ดิสก์ กล้องถ่ายภาพวิดิทัศน์ และภาพจากโปรแกรมสร้างภาพเคลื่อนไหว เป็นต้น อย่างไรก็ตามการใช้ภาพประกอบเนื้อหาอาจไม่ได้ผลเท่าที่ควร หากภาพเหล่านั้นมีรายละเอียดมากเกินไป ใช้เวลามากไปในการปรากฏบนจอภาพ ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา ซับซ้อน เข้าใจยาก และไม่เหมาะสมในเรื่องเทคนิคการออกแบบ เช่น ขาดความสมดุลย์ องค์ประกอบภาพไม่ดี เป็นต้น

ดังนั้น การเลือกภาพที่ใช้ในการนำเสนอเนื้อหาใหม่ของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน จึงควรพิจารณาในประเด็นต่างๆ ดังนี้
1. เลือกใช้ภาพประกอบการนำเสนอเนื้อหาให้มากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เป็นเนื้อหาสำคัญๆ
2. เลือกใช้ภาพเคลื่อนไหว สำหรับเนื้อหาที่ยากและซับซ้อนที่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นลำดับขั้น หรือเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
3. ใช้แผนภูมิ แผนภาพ แผนสถิติ สัญลักษณ์ หรือภาพเปรียบเทียบ ในการนำเสนอเนื้อหาใหม่ แทนข้อความคำอธิบาย
4. การเสนอเนื้อหาที่ยากและซับซ้อน ให้เน้นในส่วนของข้อความสำคัญ ซึ่งอาจใช้การขีดเส้นใต้ การตีกรอบ การกระพริบ การเปลี่ยนสีพื้น การโยงลูกศร การใช้สี หรือการชี้แนะด้วยคำพูด เช่น สังเกตุที่ด้านขวาของภาพเป็นต้น
5. ไม่ควรใช้กราฟฟิกที่เข้าใจยาก และไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา
6. จัดรูปแบบของคำอธิบายให้น่าอ่าน หากเนื้อหายาว ควรจัดแบ่งกลุ่มคำอธิบายให้จบเป็นตอนๆ
7. คำอธิบายที่ใช้ในตัวอย่าง ควรกระชับและเข้าใจได้ง่าย
8. หากเครื่องคอมพิวเตอร์แสดงกราฟฟิกได้ช้า ควรเสนอเฉพาะกราฟฟิกที่จำเป็นเท่านั้น
9. ไม่ควรใช้สีพื้นสลับไปสลับมาในแต่ละเฟรมเนื้อหา และไม่ควรเปลี่ยนสีไปมา โดยเฉพาะสีหลักของตัวอักษร
10. คำที่ใช้ควรเป็นคำที่ผู้เรียนระดับนั้นๆ คุ้นเคย และเข้าใจความหมายตรงกัน
11. ขณะนำเสนอเนื้อหาใหม่ ควรให้ผู้เรียนได้มีโอกาสทำอย่างอื่นบ้าง แทนที่จะให้กด แป้นพิมพ์ หรือคลิกเมาส์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เช่น การปฏิสัมพันธ์กับบทเรียนโดยวิธีการพิมพ์ หรือตอบคำถาม



5. ชี้แนะแนวทางการเรียนรู้ (Guide Learning)
ตาม หลักการและเงื่อนไขการเรียนรู้ (Condition of Learning) ผู้เรียนจะจำเนื้อหาได้ดี หากมีการจัดระบบการเสนอเนื้อหาที่ดีและสัมพันธ์กับประสบการณ์เดิมหรือความ รู้เดิมของผู้เรียน บางทฤษฎีกล่าวไว้ว่า การเรียนรู้ที่กระจ่างชัด (Meaningfull Learning) นั้น ทางเดียวที่จะเกิดขึ้นได้ก็คือการที่ผู้เรียนวิเคราะห์และตีความในเนื้อหา ใหม่ลงบนพื้นฐานของความรู้และประสบการณ์เดิม รวมกันเกิดเป็นองค์ความรู้ใหม่ ดังนั้น หน้าที่ของผู้ออกแบบคอมพิวเตอร์ช่วยสอนในขั้นนี้ก็คือ พยายามค้นหาเทคนิคในการที่จะกระตุ้นให้ผู้เรียนนำความรู้เดิมมาใช้ในการ ศึกษาความรู้ใหม่ นอกจากนั้น ยังจะต้องพยายามหาวิถีทางที่จะทำให้การศึกษาความรู้ใหม่ของผู้เรียนนั้นมี ความกระจ่างชัดเท่าที่จะทำได้ เป็นต้นว่า การใช้เทคนิคต่างๆ เข้าช่วย ได้แก่ เทคนิคการให้ตัวอย่าง (Example) และตัวอย่างที่ไม่ใช่ตัวอย่าง (Non-example) อาจจะช่วยทำให้ผู้เรียนแยกแยะความแตกต่างและเข้าใจมโนคติของเนื้อหาต่างๆ ได้ชัดเจนขึ้น เนื้อหาบางหัวเรื่อง ผู้ออกแบบบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแบบมัลติมีเดียอาจใช้วิธีการ ค้นพบ (Guided Discovery) ซึ่งหมายถึง การพยายามให้ผู้เรียนคิดหาเหตุผล ค้นคว้า และวิเคราะห์หาคำตอบด้วยตนเอง โดยบทเรียนจะค่อยๆ ชี้แนะจากจุดกว้างๆ และแคบลงๆ จนผู้เรียนหาคำตอบได้เอง นอกจากนั้น การใช้คำอธิบายกระตุ้นให้ผู้เรียนได้คิด ก็เป็นเทคนิคอีกประการหนึ่งที่สามารถนำไปใช้ในการชี้แนวทางการเรียนรู้ได้ สรุปแล้วในขั้นตอนนี้ผู้ออกแบบจะต้องยึดหลักการจัดการเรียนรู้ จากสิ่งที่มีประสบการณ์เดิมไปสู่เนื้อหาใหม่ จากสิ่งที่ยากไปสู่สิ่งที่ง่ายกว่า ตามลำดับขั้น

สิ่งที่ต้องพิจารณาในการชี้แนะแนวทางการเรียนในขั้นนี้ มีดังนี้
1. บทเรียนควรแสดงให้ผู้เรียนได้เห็นถึงความสัมพันธ์ของเนื้อหาความรู้ และช่วยให้เห็นว่าสิ่งย่อยนั้นมีความสัมพันธ์กับสิ่งใหญ่อย่างไร
2. ควรแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของสิ่งใหม่กับสิ่งที่ผู้เรียนมีประสบการณ์ผ่านมาแล้ว
3. นำเสนอตัวอย่างที่แตกต่างกัน เพื่อช่วยอธิบายความคิดรวบยอดใหม่ให้ชัดเจนขึ้น เช่น ตัวอย่างการเปิดหน้ากล้องหลายๆ ค่า เพื่อให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของรูรับแสง เป็นต้น
4. นำเสนอตัวอย่างที่ไม่ใช่ตัวอย่างที่ถูกต้อง เพื่อเปรียบเทียบกับตัวอย่างที่ถูกต้อง เช่น นำเสนอภาพไม้ พลาสติก และยาง แล้วบอกว่าภาพเหล่านี้ไม่ใช่โลหะ
5. การนำเสนอเนื้อหาที่ยาก ควรให้ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมมากกว่านามธรรม ถ้าเป็นเนื้อหาที่ไม่ยากนัก ให้นำเสนอตัวอย่างจากนามธรรมในรูปธรรม
6. บทเรียนควรกระตุ้นให้ผู้เรียนคิดถึงความรู้และประสบการณ์เดิมที่ผ่านมา



6. กระตุ้นการตอบสนองบทเรียน (Elicit Response)
นักการศึกษากล่าวว่า การเรียนรู้จะมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใดนั้นเกี่ยวข้องโดยตรงกับระดับและขั้นตอนของการประมวลผลข้อมูล หากผู้เรียนได้มีโอกาสร่วมคิด ร่วมกิจกรรมในส่วนที่เกี่ยวกับเนื้อหา และร่วมตอบคำถาม จะส่งผลให้มีความจำดีกว่าผู้เรียนที่ใช้วิธีอ่านหรือคัดลอกข้อความจากผู้ อื่นเพียงอย่างเดียว
บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน มีข้อได้เปรียบกว่าโสตทัศนูปการอื่นๆ เช่น วิดิทัศน์ ภาพยนตร์ สไลด์ เทปเสียง เป็นต้น ซึ่งสื่อการเรียนการสอนเหล่านี้จัดเป็นแบบปฏิสัมพันธ์ไม่ได้ (Non-interactive Media) แตกต่างจากการเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ผู้เรียนสามารถมีกิจกรรมร่วมในบทเรียนได้หลายลักษณะ ไม่ว่าจะเป็นการตอบคำถาม แสดงความคิดเห็น เลือกกิจกรรม และปฏิสัมพันธ์กับบทเรียน กิจกรรมเหล่านี้เองที่ไม่ทำให้ผู้เรียนรู้สึกเบื่อหน่าย เมื่อมีส่วนร่วม ก็มีส่วนคิดนำหรือติดตามบทเรียน ย่อมมีส่วนผูกประสานให้ความจำดีขึ้น

สิ่งที่ต้องพิจารณาเพื่อให้การจำของผู้เรียนดีขึ้น ผู้ออกแบบบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนจึงควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ร่วมกระทำกิจกรรมในบทเรียนอย่างต่อเนื่อง โดยมีข้อแนะนำดังนี้
1. ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้มีโอกาสตอบสนองต่อบทเรียนด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งตลอดบทเรียน เช่น ตอบคำถาม ทำแบบทดสอบ ร่วมทดลองในสถานการณ์จำลองเป็นต้น
2. ควรให้ผู้เรียนได้มีโอกาสในการพิมพ์คำตอบหรือเติมข้อความสั้นๆ เพื่อเรียกความสนใจ แต่ไม่ควรให้ผู้เรียนพิมพ์คำตอบที่ยาวเกินไป
3. ถามคำถามเป็นช่วงๆ สลับกับการนำเสนอเนื้อหา ตามความเหมาะสมของลักษณะเนื้อหา
4. เร่งเร้าความคิดและจินตนาการด้วยคำถาม เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ โดยใช้ความเข้าใจมากกว่าการใช้ความจำ
5. ไม่ควรถามครั้งเดียวหลายๆ คำถาม หรือถามคำถามเดียวแต่ตอบได้หลายคำตอบ ถ้าจำเป็นควรใช้คำตอบแบบตัวเลือก
6. หลีกเลี่ยงการตอบสนองซ้ำหลายๆ ครั้ง เมื่อผู้เรียนตอบผิดหรือทำผิด 2-3 ครั้ง ควรตรวจปรับเนื้อหาทันที และเปลี่ยนกิจกรรมเป็นอย่างอื่นต่อไป
7. เฟรมตอบสนองของผู้เรียน เฟรมคำถาม และเฟรมการตรวจปรับเนื้อหา ควรอยู่บนหน้าจอภาพเดียวกัน เพื่อสะดวกในการอ้างอิง กรณีนี้อาจใช้เฟรมย่อยซ้อนขึ้นมาในเฟรมหลักก็ได้
8. ควรคำนึงถึงการตอบสนองที่มีข้อผิดพลาดอันเกิดจากการเข้าใจผิด เช่น การพิมพ์ตัว L กับเลข 1 ควรเคาะเว้นวรรคประโยคยาวๆ ข้อความเกินหรือขาดหายไป ตัวพิมพ์ใหญ่หรือตัวพิมพ์เล็กเป็นต้น


7. ให้ข้อมูลย้อนกลับ (Provide Feedback)
ผลจากการวิจัยพบว่า บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนจะกระตุ้นความสนใจจากผู้เรียนได้มากขึ้น ถ้าบทเรียนนั้นท้าทาย โดยการบอกเป้าหมายที่ชัดเจน และแจ้งให้ผู้เรียนทราบว่าขณะนั้นผู้เรียนอยู่ที่ส่วนใด ห่างจากเป้าหมายเท่าใด การให้ข้อมูลย้อนกลับดังกล่าว ถ้านำเสนอด้วยภาพจะช่วยเร่งเร้าความสนใจได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะถ้าภาพนั้นเกี่ยวกับเนื้อหาที่เรียน อย่างไรก็ตาม การให้ข้อมูลย้อนกลับด้วยภาพ หรือกราฟฟิกอาจมีผลเสียอยู่บ้างตรงที่ผู้เรียนอาจต้องการดูผล ว่าหากทำผิด แล้วจะเกิดอะไรขึ้น ตัวอย่างเช่น บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแบบเกมการสอนแบบแขวนคอสำหรับการสอนคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ผู้เรียนอาจตอบโดยการกดแป้นพิมพ์ไปเรื่อยๆ โดยไม่สนใจเนื้อหา เนื่องจากต้องการดูผลจากการแขวนคอ วิธีหลีกเลี่ยงก็คือ เปลี่ยนจากการนำเสนอภาพในทางบวก เช่น ภาพเล่นเรือเข้าหาฝั่ง ภาพขับยานสู่ดวงจันทร์ ภาพหนูเดินไปกินเนยแข็ง เป็นต้น ซึ่งจะไปถึงจุดหมายได้ด้วยการตอบถูกเท่านั้น หากตอบผิดจะไม่เกิดอะไรขึ้น อย่างไรก็ตามถ้าเป็นบทเรียนที่ใช้กับกลุ่มเป้าหมายระดับสูงหรือเนื้อหาที่มีความยาก การให้ข้อมูลย้อนกลับด้วยคำเขียนหรือกราฟจะเหมาะสมกว่า
สิ่งที่ต้องพิจารณาในการให้ข้อมูลย้อนกลับ มีดังนี้
1. ให้ข้อมูลย้อนกลับทันที หลังจากผู้เรียนโต้ตอบกับบทเรียน
2. ควรบอกให้ผู้เรียนทราบว่าตอบถูกหรือตอบผิด โดยแสดงคำถาม คำตอบและการตรวจปรับบนเฟรมเดียวกัน
3. ถ้าให้ข้อมูลย้อนกลับโดยการใช้ภาพ ควรเป็นภาพที่ง่ายและเกี่ยวข้องกับเนื้อหา ถ้าไม่สามารถหาภาพที่เกี่ยวข้องได้ อาจใช้ภาพกราฟฟิกที่ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาก็ได้
4. หลีกเลี่ยงการใช้ผลทางภาพ (Visual Effects) หรือการให้ข้อมูลย้อนกลับที่ตื่นตาเกินไปในกรณีที่ผู้เรียนตอบผิด
5. อาจ ใช้เสียงสำหรับการให้ข้อมูลย้อนกลับ เช่นคำตอบถูกต้อง และคำตอบผิด โดยใช้เสียงที่แตกต่างกัน แต่ไม่ควรเลือกใช้เสียงที่ก่อให้เกิดลักษณะการเหยียดหยาม หรือดูแคลน ในกรณีที่ผู้เรียนตอบผิด
6. เฉลยคำตอบที่ถูกต้อง หลังจากที่ผู้เรียนตอบผิด 2 - 3 ครั้ง ไม่ควรปล่อยเวลาให้เสียไป
7. อาจใช้วิธีการให้คะแนนหรือแสดงภาพ เพื่อบอกความใกล้-ไกลจากเป้าหมายก็ได้
8. พยายามสุ่มการให้ข้อมูลย้อนกลับ เพื่อเรียกความสนใจตลอดบทเรียน

8. ทดสอบความรู้ใหม่ (Assess Performance)
การทดสอบความรู้ใหม่หลังจากศึกษาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรียกว่า การทดสอบหลังบทเรียน (Post-test) เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ทดสอบความรู้ของตนเอง นอกจากนี้จะยังเป็นการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนว่าผ่านเกณฑ์ที่กำหนดหรือไม่ เพื่อที่จะไปศึกษาในบทเรียนต่อไปหรือต้องกลับไปศึกษาเนื้อหาใหม่ การทดสอบหลังบทเรียนจึงมีความจำเป็นสำหรับบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนทุกประเภท
นอก จากจะเป็นการประเมินผลการเรียนรู้แล้ว การทดสอบยังมีผลต่อความคงทนในการจดจำเนื้อหาของผู้เรียนด้วย แบบทดสอบจึงควรถามแบบเรียงลำดับตามวัตถุประสงค์ของบทเรียน ถ้าบทเรียนมีหลายหัวเรื่องย่อย อาจแยกแบบทดสอบออกเป็นส่วนๆ ตามเนื้อหา โดยมีแบบทดสอบรวมหลังบทเรียนอีกชุดหนึ่งก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าผู้ออกแบบบทเรียนต้องการแบบใด

สิ่งที่ต้องพิจารณาในการออกแบบทดสอบหลังบทเรียน มีดังนี้
1. ชี้แจงวิธีการตอบคำถามให้ผู้เรียนทราบก่อนอย่างแจ่มชัด รวมทั้งคะแนนรวม คะแนนรายข้อ และรายละเอียดที่เกี่ยวข้องอื่นๆ เช่น เกณฑ์ในการตัดสินผล เวลาที่ใช้ในการตอบโดยประมาณ
2. แบบทดสอบต้องวัดพฤติกรรมตรงกับวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมของบทเรียน และควรเรียงลำดับจากง่ายไปยาก
3. ข้อคำถามคำตอบ และการตรวจปรับคำตอบ ควรอยู่บนเฟรมเดียวกัน และนำเสนออย่างต่อเนื่องด้วยความรวดเร็ว
4. หลีกเลี่ยงแบบทดสอบแบบอัตนัยที่ให้ผู้เรียนพิมพ์คำตอบยาว ยกเว้นข้อสอบที่ต้องการทดสอบทักษะการพิมพ์
5. ในแต่ละข้อ ควรมีคำถามเดียว เพื่อให้ผู้เรียนตอบครั้งเดียว ยกเว้นในคำถามนั้นมีคำถามย่อยอยู่ด้วย ซึ่งควรแยกออกเป็นหลายๆ คำถาม
6. แบบทดสอบควรเป็นข้อสอบที่มีคุณภาพ มีค่าอำนาจจำแนกดี ความยากง่ายเหมาะสมและมีความเชื่อมั่นเหมาะสม
7. อย่าตัดสินคำตอบว่าผิดถ้าการตอบไม่ชัดแจ้ง เช่น ถ้าคำตอบที่ต้องการเป็นตัวอักษรแต่ผู้เรียนพิมพ์ตัวเลข ควรบอกให้ผู้เรียนตอบใหม่ ไม่ควรชี้ว่าคำตอบนั้นผิด และไม่ควรตัดสินคำตอบว่าผิด หากผิดพลาดหรือเว้นวรรคผิด หรือใช้ตัวพิมพ์เล็กแทนที่จะเป็นตัวพิมพ์ใหญ่ เป็นต้น
8. แบบทดสอบชุดหนึ่งควรมีหลายๆ ประเภท ไม่ควรใช้เฉพาะข้อความเพียงอย่างเดียว ควรเลือกใช้ภาพประกอบบ้าง เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศในการสอบ

9. สรุปและนำไปใช้ (Review and Transfer)
การสรุปและนำไปใช้ จัดว่าเป็นส่วนสำคัญในขั้นตอนสุดท้ายที่บทเรียนจะต้องสรุปมโนคติของเนื้อหาเฉพาะประเด็นสำคัญๆ รวมทั้งข้อเสนอแนะต่างๆ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีโอกาสทบทวนความรู้ของตนเองหลังจากศึกษาเนื้อหาผ่านมาแล้ว ในขณะเดียวกัน บทเรียนต้องชี้แนะเนื้อหาที่เกี่ยวข้องหรือให้ข้อมูลอ้างอิงเพิ่มเติม เพื่อแนะแนวทางให้ผู้เรียนได้ศึกษาต่อในบทเรียนถัดไป หรือนำไปประยุกต์ใช้กับงานอื่นต่อไป

การออกแบบบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนในขั้นนี้ มีข้อเสนอแนะดังนี้
1. สรุปองค์ความรู้เฉพาะประเด็นสำคัญๆ พร้อมทั้งชี้แนะให้เห็นถึงความสัมพันธ์กับความรู้หรือประสบการณ์เดิมที่ผู้เรียนผ่านมาแล้ว
2. ทบทวนแนวคิดที่สำคัญของเนื้อหา เพื่อเป็นการสรุป
3. เสนอแนะเนื้อหาความรู้ใหม่ ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้
4. บอกผู้เรียนถึงแหล่งข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการศึกษาเนื้อหาต่อไป

ขั้นตอนการสอนทั้ง 9 ประการของ Robert Gagné เป็นมโมติกว้างๆ แต่ก็สามารถประยุกต์ใช้ได้ทั้งบทเรียนสำหรับการเรียนการสอนปกติในชั้นเรียนและบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เทคนิคอีกอย่างหนึ่งในการออกแบบบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแบบมัลติมีเดียที่ใช้เป็นหลักพื้นฐานก็คือ การทำให้ผู้เรียนเกิดความรู้สึกใกล้เคียงกับการเรียนรู้โดยผู้สอนในชั้นเรียน โดยปรับเปลี่ยนกระบวนการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับการใช้งานของคอมพิวเตอร์ให้มากที่สุด

การวิเคราะห์สื่อมัลติมีเดีย เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก

กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

แหล่งที่มา http://www.horhook.com/content/
เป็นสื่อมัลติมีเดียที่จัดทำขึ้นจาก Storyboard ที่ได้รับการคัดเลือกในการอบรมเชิงปฏิบัติการการจัดทำ Storyboard ของศูนย์พัฒนาหนังสือ กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการจัดทำโดยนางสุพัชรี ไชยชนะ และ นางสาวเพ็ญศรี ยะนะโชติ
เนื้อหาของ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-Book) นี้ส่วนหนึ่งมาจากกลุ่มสาระวิทยาศาสตร์ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยมีการดัดแปลงเนื้อหาบางส่วนให้มีความเหมาะสมกับสื่อดังกล่าว เพื่อให้มีคุณสมบัติพิเศษในการถ่ายทอดความรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยเทคนิคการนำเสนอที่หลากหลายทั้งภาพและเสียงช่วยให้ผู้เรียนสนใจและเกิดกระบวนการเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว เป็นการสนับสนุนให้ครูและนักเรียนมีสื่อที่มีรูปแบบที่ทันสมัย สามารถนำมาใช้ประกอบการเรียนการสอน หรือศึกษาหาความรู้ด้วยตนเองได้

จุดประสงค์
• เพื่อให้นักเรียนมีความรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก
• เพื่อให้ครูผู้สอนมีสื่อการเรียนรู้ที่ทันสมัย
• เพื่อใช้เป็นสื่อการเรียนรู้ที่สามารถเรียนรู้ด้วยตนเองได้
ส่วนประกอบของสื่อ
1.หน้าปก
2.คำนำ
3.สารบัญ
การเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์
• การตัดไม้ทำลายป่า
• การทำเกษตรกรรม
• การชลประทาน
• การทำเหมืองแร่
• การทำอุตสาหกรรมและการก่อสร้าง
การเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกที่เกิดจากการกระทำของธรรมชาติ
• การเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลก
• การเกิดแผ่นดินไหว
• การเกิดภูเขาไฟ
• การเกิดภูเขา
• การกร่อน
ผลที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก
4.เนื้อเรื่อง
5.ดรรชนี
6.รายชื่อคณะผู้จัดทำ




รายละเอียดเนื้อหา
เนื้อหาที่ผู้จัดทำได้นำเสนอคือให้ความรู้เรื่อง การเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการกระทำของธรรมชาติ และผลที่เกิดจากการการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก

องค์ประกอบของสื่อ
สื่อมัลติมิเดียเรื่องการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกนี้ มีองค์ประกอบที่น่าสนใจดังนี้
ในแต่ละหน้ามีส่วนของเนื้อหา มีเสียงบรรยาย มีภาพประกอบทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ มีความสอดคล้องกับเนื้อหา ปุ่มรายการ ปุ่มไปยังหน้าถัดไป และย้อนกลับไปยังหน้าที่ผ่านมา เลขหน้าที่กำลังอ่านอยู่ในขณะนั้น ซึ่งผู้เรียนสามารถเรียนรู้หรือศึกษาด้วยตัวเองได้
เนื้อหาสาระเหมาะสมกับนักเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เพื่อประกอบการเรียนการสอนในวิชาวิทยาศาสตร์ ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงความจำเจที่นักเรียนต้องเรียนรู้กับครูผู้สอนเพียงอย่างเดียว ในขณะเดียวกันยังสร้างความตื่นตาตื่นใจในขณะที่เรียนรู้อีกด้วย นอกจากนี้เนื้อหายังสอดแทรกเนื้อหาที่จะทำให้นักเรียนมีเจตคติที่ดีต่อการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์อีกด้วย


แนวคิด หลักการ ทฤษฎีที่สอดคล้องในการประยุกต์ใช้ในด้านการเรียนการสอน
ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยม
1. ทฤษฎีการเชื่อมโยงของธอร์นไดค์ คือ
1.1 การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ลองผิดลองถูกด้วยตนเองบ้าง จะเป็นการช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ในการแก้ไขปัญหา โดยสามารถจดจำผลจากการเรียนรู้ได้ดี รวมทั้ง
เกิดความภาคภูมิใจในการทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง
1.2 หากต้องการให้ผู้เรียนเกิดทักษะในเรื่องใดแล้ว ต้องให้ผู้เรียนมีความรู้และความเข้าใจในเรื่องนั้นๆ อย่างถ่องแท้ และให้ผู้เรียนฝึกฝนอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ
2. ทฤษฎีการเรียนรู้แบบการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิคของวัตสัน
2.1 การสรุปความเหมือนและการแยกความแตกต่าง เช่น การอธิบายความเหมือน และบอกความแตกต่างของสัตว์แต่ละชนิดได้เมื่อศึกษาเนื้อหารายละเอียดจากสื่อเรียบร้อยแล้ว
3.ทฤษฎีการเรียนรู้ของฮัลล์
3.1ในการจัดการเรียนการสอน ควรคำนึงถึงความพร้อม ความสามารถและเวลาที่ผู้เรียนจะเรียนได้ดีที่สุด ถ้าสื่อมัลติมีเดียมีความยากเกินไปไม่เหมาะสมกับช่วงอายุของเด็กก็จะทำให้ผู้เรียนไม่เข้าใจและไม่เกิดความรู้
ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพุทธินิยม
1. ทฤษฎีเครื่องหมาย ในการสอนให้ผู้เรียนบรรลุจุดมุ่งหมายใดๆ นั้น ครูควรให้เครื่องหมาย สัญลักษณ์ หรือสิ่งอื่นๆ ที่เป็นเครื่องชี้ทางควบคู่ไปด้วย
2. ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์
2.1 ในการพัฒนาเด็ก ควรคำนึงถึงพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็กและจัดประสบการณ์ให้เด็กอย่างเหมาะสม กับพัฒนาการนั้นไม่ควรบังคับให้เด็กเรียนในสิ่งที่ยังไม่พร้อม หรือยากเกินพัฒนาการตามวัยของตน เพราะจะก่อให้เกิดเจตคติที่ไม่ดีได้
- เด็กแต่ละคนมีพัฒนาการแตกต่างกัน ถึงแม้อายุจะเท่ากัน แต่พัฒนาการอาจไม่เท่ากัน ดังนั้นจึงไม่ควรเปรียบเทียบเด็ก ควรให้เด็กมีอิสระที่จะเรียนรู้และพัฒนาความสามารถของเขาไปตามระดับพัฒนาการของเขา
- ในการสอนควรใช้สิ่งที่เป็นรูปธรรม เพื่อช่วยให้เด็กเข้าใจลักษณะต่างๆ ได้ดีขึ้น แม้ในพัฒนาการช่วงความคิดแบบรูปธรรมเด็กจะสามารถสร้างภาพในใจได้ แต่การสอนที่ใช้อุปกรณ์ที่เป็นรูปธรรม จะช่วยให้เด็กเข้าใจแจ่มชัดขึ้น
2.2 การให้ความสนใจและสังเกตเด็กอย่างใกล้ชิดจะช่วยให้ทราบลักษณะเฉพาะตัวของเด็ก
3.ทฤษฎีเกสตัลท์
3.1 กระบวน การคิดเป็นกระบวนการสำคัญในการเรียนรู้ การส่งเสริมกระบวนการคิดจึงเป็นสิ่งจำเป็นและเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยให้ผู้ เรียนเกิดการเรียนรู้
3.2 การสอนโดยการเสนอภาพรวมให้ผู้เรียนเห็นและเข้าใจก่อนการเสนอส่วนย่อย จะช่วย
ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดี
3.3 การส่งเสริมให้ผู้เรียนมีประสบการณ์มาก ได้รับประสบการณ์ที่หลากหลายจะช่วยให้
ผู้เรียนสามารถคิดแก้ปัญหาและคิดริ เริ่มได้มากขึ้น
3.4 การจัดประสบการณ์ใหม่ ให้มีความสัมพันธ์กับประสบการณ์เดิมของผู้เรียนจะช่วยให้ผู้เรียนสามารถ เรียนรู้ได้ง่ายขึ้น
3.5 ในการสอนครูไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเสนอการสอนทั้งหมดที่สมบูรณ์ครูสามารถเสนอ เนื้อหาแต่เพียงบางส่วนได้ หากผู้เรียนสามารถใช้ประสบการณ์เดิมมาเติมให้สมบูรณ์
3.6 การเสนอบทเรียนหรือเนื้อหาควรจัดให้มีความต่อเนื่องกันจะช่วยให้ผู้เรียน เกิดการเรียนรู้ได้ดี และรวดเร็ว
ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มประมวลสารสนเทศ
ในการจัดการเรียนการสอนนั้นควรตระหนักถึงสิ่งที่ผู้เรียนเคยรู้มาก่อนที่ถูกบันทึกเก็บไว้ในความจำระยะยาว ซึ่งมีอิทธิพลกับการเรียนรู้ใหม่ (Siegler, 1983) ดังนั้นเพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถเก็บบันทึกความรู้ต่างๆที่ได้เรียนรู้ไว้ในความจำระยะยาวและสามารถเรียกกลับมาใช้ได้นั้น ผู้สอนควรพยายามสร้างสะพานที่จะช่วยให้ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงระหว่างสิ่งที่ผู้เรียนเคยรู้มาก่อน กับสิ่งที่จะเรียนรู้ใหม่ โดยวิธีการต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว เช่น การทบทวน การทำซ้ำๆ (Rehearsal) การเรียบเรียงและรวบรวม (Organize) การขยายความ หรือขยายความคิด (Elaborate) เป็นต้น

กานเย่ได้เสนอระบบการสอน 9 ขั้นดังนี้
ขั้นที่ 1 สร้างความสนใจ (gaining attention) เป็นขั้นที่ทำให้ผู้เรียนเกิดความสนใจในบทเรียน เป็นเรียงจูงใจที่เกิดขึ้นทั้งจากสิ่งยั่วยุภายนอกและแรงจูงใจที่เกิดจากตัวผู้เรียนเองด้วย ครูอาจใช้วิธีการสนทนา ซักถาม ทายปัญหา หรือมีวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ที่กระตุ้นให้ผู้เรียนตื่นตัว และมีความสนใจที่จะเรียนรู้
ขั้นที่ 2 แจ้งจุดจุดประสงค์ (informing the learner of the objective) เป็นการบอกให้ผู้เรียนทราบถึงเป้าหมายหรือผลที่จะได้รับจากการเรียนบทเรียนนั้นโดยเฉพาะ เพื่อให้ผู้เรียนเห็นประโยชน์ในการเรียน เห็นแนวทางของการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนตามแนวทางที่จะนำไปสู่จุดหมายได้เป็นอย่างดี
ขั้นที่ 3 กระตุ้นให้ผู้เรียนระลึกถึงความรู้เดิมที่จำเป็น(stimu-lating recall of prerequisite learned capabilities) เป็นการทบทวนความรู้เดิมที่จำเป็นต่อการเชื่อมโยงให้เกิดการเรียนรู้ความรู้ใหม่ เนื่องจากการเรียนรู้เป็นกระบวนการต่อเนื่อง การเรียนรู้ความรู้ใหม่ต้องอาศัยความรู้เก่าเป็นพื้นฐาน
ขั้นที่ 4 เสนทอบทเรียนใหม่ (presenting the stimulus) เป็นการเริ่มกิจกรรมของบทเรียนใหม่โดยใช้วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ที่เหมาะสมมาประกอบการสอน
ขั้นที่ 5 ให้แนวทางการเรียนรู้ (providing learning guidance) เป็นการช่วยให้ผู้เรียนสามารถทำกิจกรรมด้วยตนเอง ครูอาจแนะนำวิธีการทำกิจกรรม แนะนำแหล่งค้นคว้าเป็นการนำทาง ให้แนวทางให้ผู้เรียนไปคิดเอง เป็นต้น
ขั้นที่ 6 ให้ลงมือปฏิบัติ (eliciting the performance) เป็นการให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติ เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถแสดงพฤตกรรมตามจุดประสงค์
ขั้นที่ 7 ให้ข้อมูลป้อนกลับ (feedback) เป็นขั้นที่ครูให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลการปฏิบัติกิจกรรมหรือพฤติกรรมที่ผู้เรียนแสดงออกว่ามีความถูกต้องหรือไม่อย่างไร และเพียงใด
ขั้นที่ 8 ประเมินพฤติกรรมการเรียนรู้ตามจุดประสงค์ (assessing the performance) เป็นขั้นการวัดและประเมินว่าผู้เรียนสามารถเรียนรู้ตามจุดประสงค์การเรียนรู้ของบทเรียนเพียงใด ซึ่งอาจทำการวัดโดยการใช้ข้อสอบ แบบสังเกตการตรวจผลงาน หรือการสัมภาษณ์ แล้วแต่ว่าจุดประสงค์นั้นต้องการวัดพฤติกรรมด้านใดแต่สิ่งที่สำคัญคือ เครื่องมือที่ใช้วัดจะต้องมีคุณภาพ มีความเชื่อถือได้ และมีความเที่ยงตรงในการวัด
ขั้นที่ 9 ส่งเสริมความแม่นยำและการถ่ายโอนการเรียนรู้ (enhancing retention and transfer) เป็นการสรุป การย้ำ ทบทวนการเรียนที่ผ่านมาเพื่อให้นักเรียนมีพฤติกรรมการเรียนรู้ที่ฝังแน่นขึ้น กิจกรรมในขั้นนี้อาจเป็นแบบฝึกหัด การให้ทำกิจกรรมเพิ่มพูนความรู้ รวมทั้งการให้ทำการบ้าน การทำรายงาน หรือหาความรู้เพิ่มเติมจากความรู้ที่ได้ในชั้นเรียน
สรุปว่า จากการศึกษาวิเคราะห์ สื่อมัลติมิเดีย เรื่องการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกนี้แล้วเมื่อดูจากทฤษฎีต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้แล้วพบว่า
1. สอดคล้องกับทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยม (ทฤษฎีของฮัลล์) ที่ว่า ในการจัดการเรียนการสอน ควรคำนึงถึงความพร้อม ความสามารถและเวลาที่ผู้เรียนจะเรียนได้ดีที่สุด ถ้าสื่อมัลติมีเดียมีความยากเกินไปไม่เหมาะสมกับช่วงอายุของเด็กก็จะทำให้ผู้เรียนไม่เข้าใจและไม่เกิดความรู้
2. สอดคล้องกับทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพุทธินิยม ที่ว่า ทฤษฎีเครื่องหมาย ในการสอนให้ผู้เรียนบรรลุจุดมุ่งหมายใดๆ นั้น ครูควรให้เครื่องหมาย สัญลักษณ์ หรือสิ่งอื่นๆ ที่เป็นเครื่องชี้ทางควบคู่ไปด้วย
3. สอดคล้องกับทฤษฎีการเรียนรู้ของกานเย่

www ศึกษาสื่อมัลติมีเดีย

กลุ่มแบบแยกกันอย่างชัดเจน(ศึกษาข้ามกลุ่มไม่ได้): ปโทหลักสูตรเชียงราย
กระดานนี้บังคับให้ผู้ใช้ทุกคนต้องสมัครสมาชิกก่อน
ทุกคนได้เป็นสมาชิกของกระดานนี้แล้ว

จับคู่คิด ศึกษาสื่อมัลติมีเดีย จากเว็บ
http://61.7.158.13/kan_cai3/index2.htm
http://www.thaiedunet.com/multimedia/
http://210.246.188.51/goverment/index.htm
http://mediacenter.obec.go.th/moe/index.html
http://www.karn.tv/thai.html
http://www.horhook.com/content/index.htm
http://210.246.188.51/index.jsp
ทำการวิเคราะห์แนวคิด หลักการ ของทฤษฎีกลุ่มพฤติกรรมนิยม ปัญญานิยม ประมวลสารสนเทศ แนวคิดของสือมัลติมีเดียเพื่อการเรียนรู้ด้วยตนเอง มัลติมีเดียเพื่อการนำเสนอ ที่ใช้ในการออกแบบสื่อมัลติมีเดียดังกล่าว
กำหนดส่งงาน วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม 53 ก่อนเที่ยงคืน

การวิเคราะห์สื่อมัลติมีเดีย เรื่อง กระรอกรอบรู้

การวิเคราะห์สื่อมัลติมีเดีย
ชื่อสื่อ อิเล็กทรอนิกส์ (e-book) เรื่อง กระรอกรอบรู้
สื่อการเรียนการสอนในรูปแบบหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ลักษณะมัลติมีเดีย
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ระดับชั้นประถมศึกษา
จากเว็บไซด์ http://www.horhook.com/content/index.htm
http://www.horhook.com/content/KaRokRopRue/index.htm
ปัจจุบันในวงการศึกษาสื่อมัลติมีเดียเข้ามามีบทบาทมากขึ้น โดยได้นำมาใช้เพื่อการเรียนการสอน ในลักษณะแผ่นซีดีรอม หรืออาจใช้ในลักษณะห้องปฏิบัติการมัลติมีเดียโดยเฉพาะก็ได้ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่ามัลติมีเดียจะกลายมาเป็นเครื่องมือที่สำคัญทางการศึกษาในอนาคต
สื่อมัลติมีเดีย คือ การใช้คอมพิวเตอร์ร่วมกับโปรแกรมซอฟต์แวร์ในการสื่อความหมายโดยการผสมผสาน สื่อหลายชนิด การใช้สื่อมัลติมีเดียในลักษณะปฏิสัมพันธ์เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถเรียนรู้หรือทำกิจกรรมรวมถึงดูสื่อต่างๆ ด้วยตนเองได้สื่อต่างๆที่นำมารวมไว้ในสื่อมัลติมีเดีย เช่น ภาพ เสียง วีดิทัศน์ จะช่วยให้เกิดความหลากหลายในการใช้คอมพิวเตอร์อันเป็นเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ในแนวทางใหม่ที่ทำให้การใช้คอมพิวเตอร์น่าสนใจ และเร้าความสนใจเพิ่มความสนุกสนานในการเรียนรู้มากยิ่งขึ้น
สื่อมัลติมีเดียที่นำมาวิเคราะห์ เป็นหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ลักษณะมัลติมีเดีย กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ระดับประถมศึกษา เรื่อง กระรอกรอบรู้ ดังนี้
การใช้หลักการ แนวคิด ทฤษฎีการเรียนรู้
สื่อมัลติมีเดีย เรื่อง กระรอกรอบรู้ ได้ใช้ทฤษฎีของเพียเจต์และทฤษฎีของกัทธรีมาประยุกต์ในการผลิตสื่อเพื่อการเรียนการสอน โดยอาศัยลำดับขั้นตอนของทฤษฎีการเรียนรู้เหล่านี้


จากทฤษฎีลำดับขั้นทางสติปัญญาของเพียเจต์ ซึ่งได้ศึกษาพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็กเป็นขั้นๆ แบ่งเป็น 4 ขั้นใหญ่ คือ
1. ขั้นประสาทรับรู้และการเคลื่อนไหว
2. ขั้นเตรียมสำหรับความคิดที่มีเหตุผล
3. ขั้นปฏิบัติการคิดโดยใช้สิ่งที่เป็นรูปธรรม
4. ขั้นปฏิบัติการคิดโดยใช้นามธรรม
ซึ่งในขั้นที่ 3 คือ ขั้นปฏิบัติการคิดโดยใช้สิ่งที่เป็นรูปธรรม เป็นระยะที่เด็กมีอยู่ระหว่าง 7-8 ปี ถึง 11-12 ปี เมื่อถึงขั้นนี้เด็กจะสามารถ คิดแบบตรรกวิทยาได้ แต่เป็นการคิดเชิงรูปธรรมมากกว่านามธรรม
ดังนั้นสื่อมัลติมีเดียนี้ใช้หลักการ ทฤษฎีของเพียเจต์ มาประยุกต์ในการทำสื่อการเรียนการสอน ที่ประกอบไปด้วย ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว เสียง ข้อความ เป็นต้น ซึ่งเหมาะสำหรับนักเรียนระดับประถมศึกษา เพราะเป็นการสร้างแรงจูงใจต่อการเรียน ตามทฤษฎีของกัทธรี ในการสร้างแรงจูงใจ
สื่อนี้ประกอบไปด้วยชื่อเรื่อง คำนำ ซึ่งในคำนำนั้นได้บอกว่าสื่อนี้เป็นลักษณะมัลติมีเดีย บอกผู้แต่งนิทาน ได้นำเรื่องมาจากหนังสืออ่านเพิ่มเติม วิทยาศาสตร์ ระดับประถมศึกษา สื่อนี้เป็นการนำเสนอข้อมูลที่หลากหลาย น่าสนใจ ซึ่งประกอบไปด้วย ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว เสียง ข้อความ เนื้อเรื่อง ที่ประกอบไปด้วย รูปภาพเคลื่อนไหว และภาพนิ่งที่ชัดเจน ซึ่งมีความสอดคล้องกับทฤษฎีของเกสตัลท์ กฎแห่งความชัดเจน มีตัวหนังสือของเนื้อเรื่องเป็นสีน้ำเงินเข้ม ทำให้ดึงดูดสายตาได้ดี ทั้งหมดนี้ก็ได้สอดคล้องกับ ทฤษฎีการเรียนรู้พฤติกรรมนิยม (Behaviorism) ที่มีแนวคิดว่า พฤติกรรมต้องมีสาเหตุมากระตุ้น คือ สิ่งเร้า (Stimulus) และส่งผลต่อการตอบสนอง (Response) และมีคำเชื่อมที่แทนด้วยตัวหนังสือสีแดง เมื่อเอาเม้าส์ไปชี้ ก็จะปรากฏคำอธิบายเพิ่มเติมขึ้นมา ทำให้นักเรียนเข้าใจความหมายง่ายขึ้น ตามกฎแห่งความคล้ายคลึงของเกสตัลท์ ที่อธิบายว่าเป็นการวางหลักการการรับรู้ในสิ่งที่คล้ายคลึงกันเพื่อจะได้รู้ว่าสามารถจัดเข้ากลุ่มเดียวกันได้ รวมทั้งยังมีการเล่านิทานให้ฟัง น้ำเสียงที่ใช้ในการเล่านิทานชัดเจน น่าตื่นเต้นและน่าติดตาม มีการเล่านิทานตั้งแต่หน้าแรกจนกระทั่งถึงหน้าสุดท้ายของเรื่อง มีการอธิบายลักษณะของตัวละครในเรื่อง และในเนื้อเรื่องมีภาพเกี่ยวกับธรรมชาติ เช่นภาพในป่า มีสัตว์ต่างๆ มีการเล่าบรรยายบริบททั่วๆไปของธรรมชาติ จากนั้น มีการสอดแทรกเนื้อหาทางวิชาวิทยาศาสตร์ข้าไปด้วยทำให้เด็กซึ่งจะทำให้เด็กได้เกิดการเรียนรู้เนื้อหาไปในตัวและไม่น่าเบื่อ ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีการเรียนรู้ของเกสตัลท์ ที่มีแนวคิดว่า การเรียนรู้เกิดจากการจัดประสบการณ์ทั้งหลายที่อยู่กระจัดกระจายให้รวมกันเสียก่อน แล้วจึงพิจารณาส่วนย่อยต่อไป
ในสื่ออิเล็กทรอนิกส์ลักษณะมัลติมีเดียนี้มีทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว ที่มีสีสันสวยงามทำให้เด็กเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้นและสามารถมองเห็นภาพนามธรรมเป็นรูปธรรมได้ในเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งสอดคล้องตามหลักทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์ ว่าในการสอนควรใช้สิ่งที่เป็นรูปธรรม เพื่อช่วยให้เด็กเข้าใจในลักษณะต่างๆ ได้ดีขึ้น แม้ในพัฒนาการช่วงความคิดแบบรูปธรรม เด็กจะสามารถสร้างภาพในใจได้ และในสื่อการสอนนี้เป็นอุปกรณที่เป็นรูปธรรมจะช่วยในเด็กเข้าใจชัดเจนขึ้น อีกทั้งยังสอดคล้องกับทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของบรุนเนอร์ ในขั้นการเรียนรู้จากความคิด (Iconic stage) เป็นขั้นที่เด็กสามารถสร้างมโนภาพในใจได้และสามารถเรียนรู้จากภาพแทนของจริงได้ และขั้นการเรียนรู้สัญลักษณ์และนามธรรม (Symobolic Stage) เป็นขั้นการเรียนรู้สิ่งที่ซับซ้อนและเป็นนามได้ อีกทั้งสื่อการเรียนรู้นี้ยังให้แนวคิด การปฏิบัติตน ให้อยู่กับธรรมอย่างถูกต้อง เช่น ในเนื้อเรื่องให้ข้อคิดเกี่ยวกับการรักษาธรรมชาติ ป่าไม้ และผลกระทบที่เกิดจากมนุษย์เป็นผู้กระทำ ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงความรู้ ตามทฤษฎีของออซูเบล ทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมาย ที่เชื่อว่า การเรียนรู้จะมีความหมายแก่ผู้เรียน หากการเรียนรู้นั้นสามารถเชื่อมโยงกับสิ่งที่รู้มาก่อน และทำให้เกิดการประมวลข้อมูลสารสนเทศขึ้นโดยสอนเชื่อมโยงกับสิ่งที่เรียนรู้มาแล้ว การจัดเตรียมเนื้อหาอย่างเป็นระบบ ระเบียบ เพราะการเรียนรู้ของมนุษย์ซึ่งเปรียบเทียบได้จากการทำงานของคอมพิวเตอร์กับการทำงานของสมอง ตามทฤษฎีการเรียนรู้การประมวลสารสนเทศส่วนด้านท้ายเรื่อง มีดรรชี คำเชื่อมที่อธิบายเพิ่มเติม
สื่ออิเล็กทรอนิกส์ลักษณะมัลติมีเดียนี้ มีการจัดทำตาม 9 ขั้นของกาเย่ คือ
1. ขั้นสร้างความสนใจ
2. แจ้งจุดประสงค์ (แต่ในสื่อนี้ไม่ได้แจ้งจุดประสงค์ของเรื่องไว้)
3. ขั้นการกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความรู้เดิม
4. ขั้นเสนอบทเรียนใหม่
5. ขั้นแนวทางการเรียนรู้
6. ให้ลงมือปฏิบัติ
7. ขั้นให้ข้อมูลป้อนกลับ
8. ขั้นประเมินผู้เรียน
9. ขั้นส่งเสริมความแม่นยำ
โดยสรุปแล้ว สื่อการเรียนการสอนนี้ได้นำทฤษฎีพฤติกรรมนิยมและทฤษฎีปัญญานิยมมาประยุกต์ใช้กับการเรียนการสอนเพื่อให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ที่ดีขึ้น และในปัจจุบัน มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่นคอมพิวเตอร์ก็นำมาประยุกต์เป็นสื่อ คือคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ที่มีการนำเสนอที่หลากหลายรูปแบบ ในสื่อการเรียนการสอนเรื่อง กระรอกรอบรู้นี้ จัดเป็นสื่ออิเล็กทรอนิกส์ลักษณะมัลติมีเดียเพื่อการเรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งเรียกว่าหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-book) เป็นสื่อการเรียนที่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือเพิ่มความน่าสนใจแก่ผู้เรียน

การวิเคราะห์สื่อมัลติมีเดีย เรื่อง แมลง

การวิเคราะห์สื่อมัลติมีเดีย เรื่อง แมลง
ผู้แหล่งที่มาของสื่อมัลติมีเดีย : http://www.horhook.com/content/index.htm
สื่อมัลติมีเดียเรื่องแมลง เป็นหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ที่มีลักษณะมัลติมีเดีย
หรือ Multimedia e-Book ที่กรมวิชาการได้จัดทำขึ้นจากหนังสืออ่านเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ ระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้น มีรูปแบบน่าสนใจกว่าสื่อสิ่งพิมพ์ ด้วยองค์ประกอบด้านมัลติมีเดียที่หลากหลาย เช่น ภาพเคลื่อนไหว เสียง ฯลฯ จะช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจเนื้อหาที่นำเสนอ
ได้ดียิ่งขึ้นและเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

หัวข้อส่วนประกอบในสื่อ มีดังนี้
1. คำนำ
2. ดรรชนี จำนวน 4 หน้า
3. คณะผู้จัดทำ
4. อธิบายคำศัพท์ จำนวน 5 หน้า
5. หัวข้อเนื้อหา จำนวน 14 เรื่อง
1. แมลงเกิดขึ้นบนโลกเมื่อใด จำนวน 1 หน้า
2. ตัวนี้ไมใช่แมลง จำนวน 1 หน้า
3. นี้คือแมลง จำนวน 1 หน้า
4. การเจริญเติบโตของแมลง จำนวน 3 หน้า
5. แมลงในสวน จำนวน 1 หน้า
6. แมลงในทุ่งนา จำนวน 2 หน้า
7. แมลงในดิน จำนวน 2 หน้า
8. แมลงในน้ำ จำนวน 4 หน้า
9. แมลงในป่าไม้ จำนวน 2 หน้า
10. แมลงในบ้านเรือน จำนวน 6 หน้า
11. แมลงที่เป็นประโยชน์ จำนวน 2 หน้า
12. แมลงที่สร้างรัง จำนวน 4 หน้า
13. ลักษณะแหล่งที่อยู่ประโยชน์และโทษของแมลงที่พบบ่อย จำนวน 17 หน้า
14. วิธีจับและศึกษาแมลง จำนวน 1 หน้า
ลักษณะรูปแบบที่นำเสนอ พบว่า
1. มีเมนูแสดงแสดงหัวข้อในแต่ละเรื่องอย่างหลากหลายครบถ้วน
2. ในแต่ละเรื่องแสดงรายละเอียด อย่างครบถ้วน เข้าใจง่าย
3. รูปเล่มมีสีสันสวยงาม น่าอ่าน
4. ตัวอักษรอ่านง่าย ชัดเจน
5. มีภาพเคลื่อนไหว ทำให้เกิดความน่าสนใจ
6. มีคำบรรยายและรูปภาพประกอบที่สอดคล้องกับเนื้อหา
7. เสียงบรรยายประกอบภาพเคลื่อนไหว น้ำเสียงชัดเจน
8. มีคำอธิบายศัพท์เพื่อเพิ่มความเข้าใจมากยิ่งขึ้น
9. มีดรรชนี อ้างอิงแหล่งที่มา
10. ในภาพรวม (มีภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว เสียง ตัวอักษร สีสัน ) ทำให้เกิดจินตนาการในการเรียนรู้
เกิดความเพลิดเพลิน

สื่อมัลติมีเดียกับทฤษฏีการเรียนรู้
วิเคราะห์สื่อมัลติมีเดียที่สัมพันธ์กับทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยม
จากการศึกษาพบว่า สื่อมัลติมีเดียเรื่อง แมลง มีสิ่งเร้าที่น่าสนใจมีรูปภาพประกอบคำใช้แบบตัวอักษรสีบรรยายเนื้อหา อ่านแล้วเข้าใจง่าย มีสันสะดุดตาและรูปภาพแมลงมีลักษณะภาพคลายของจริงเป็นภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว กระตุ้นความสนใจให้ชวนดูน่าศึกษาติดตาม เนื้อหาความรู้แต่ละเรื่องจะเรียงลำดับจากเรื่องที่ใกล้ตัวเป็นพื้นฐานความรู้และเรียงลำดับตามความสำคัญของเรื่องเป็นไปตามลำดับขั้นตอนตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง มีเมนูแสดงรายละเอียดของแต่ละหน้าต่างอย่างครบถ้วน สามารถเข้าไปศึกษาเนื้อหาได้อย่างต่อเนื่องและกลับไปทบทวนเนื้อหาเดิมซ้ำ ๆ ได้ตามที่ต้องการ มีความสอดคล้องกับ ทฤษฎีกลุ่มพฤติกรรมนิยม ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มปัญญานิยม และ ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มประมวลสารสารสนเทศ ดังนี้
1. ทฤษฎีกลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behaviorism )
1.1ทฤษฎีการเชื่อมโยงของธอร์นไดค์ ( Thorndike ‘s classical Connectionism ) ทฤษฎีนี้ กล่าวว่าการเรียนรู้เกิดจากการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนอง ซึ่งมีหลายรูปแบบบุคคลจะมีการลองผิดลองถูก(Trial and error)ปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนกว่าจะพบรูปแบบการตอบสนองที่สามารถให้ผลที่พึงพอใจมากที่สุด เมื่อเกิดการเรียนรู้แล้ว บุคคลจะใช้รูปแบบการตอบสนองที่เหมาะสมเพียงรูปแบบเดียว และจะพยายามใช้รูปแบบนั้นเชื่อมโยมกับสิ่งเร้าในการเรียนรู้ต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งตรงกับกฎการเรียนรู้ของธอร์นไดค์
- กฎแห่งการฝึกหัด (Law of Exercise) ที่ว่าการฝึกหัดหรือกระทำบ่อยๆ ด้วยความเข้าใจจะทำให้การเรียนรู้นั้นคงทนถาวร ถ้าไม่ได้กระทำซ้ำบ่อยๆ การเรียนรู้นั้นจะไม่คงทนถาวร และในที่สุดอาจลืมได้
- กฎแห่งผลที่พึงพอใจ(Law of Effect) ที่ว่าเมื่อบุคคลได้รับผลที่พึงพอใจย่อมอยากจะเรียนรู้ต่อไป แต่ถ้าได้รับผลที่ไม่พึงพอใจ จะไม่อยากเรียนรู้ ดังนั้นการได้รับผลที่พึงพอใจ จงเป็นปัจจัยสำคัญในการเรียนรู้
หลักการจัดการศึกษา
1. หากต้องการให้ผู้เรียนมีทักษะในเรื่องใดจะต้องช่วยให้เขาเกิดความเข้าใจในเรื่องนั้นอย่างแท้จริงแล้วให้ฝึกฝนโดยกระทำสิ่งนั้นบ่อยๆ แต่ควรระวังอย่างให้ถึงกับซ้ำซาก จะทำให้ผู้เรียนเกิดความเบื่อหน่าย
2. เมื่อผู้เรียนเกิดการเรียนรู้แล้วควรให้ผู้เรียนฝึกนำการเรียนรู้นั้นไปใช้บ่อยๆ
จากแนวคิดทฤษฏีและกฎการเรียนรู้และหลักการจัดการศึกษาของธอร์นไดค์ จะเห็นว่ามีความสัมพันธ์กับสื่อมัลติมีเดีย เรื่องแมลงคือเป็นสื่อที่มีการกระตุ้นดึงดูดความสนใจให้ผู้ศึกษาได้ศึกษาและฝึกทบทวนเนื้อหาบ่อยๆ ได้ตามความสนใจและความเข้าใจของผู้ศึกษาทำให้ผู้ศึกษาเกิดการเรียนรู้ที่คงทนถาวร

1.2ทฤษฏีการวงเงื่อนไขแบบอัตโนมัติ ( classical Connectioning )ของพาฟลอฟ
ทฤษฎีนี้ กล่าวว่า การเรียนรู้ของสิ่งมีชีวิตเกิดจาการตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข ( conditioned stimulus)ซึ่งตรงกับกฎการเรียนรู้ของพาฟลอฟ
- กฎแห่งการถ่ายโยงการเรียนรู้สู่สถานการณ์อื่นๆ (Law of Generalization) กล่าวคือ เมื่อเกิดการเรียนรู้จากการวางเงื่อนไขแล้ว หากมีสิ่งเร้าคล้ายๆ กับสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขมากระตุ้น อาจทำให้เกิดการตอบสนองที่เหมือนกันได้
- กฎแห่งการจำแนกความแตกต่าง (Law of Discrimination) กล่าวคือ หากมีการใช้สิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขหลายแบบ แต่มีการใช้สิ่งเร้าที่ไม่วางเงื่อนไขเข้าคู่กับสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น ก็สามารถช่วยให้เกิดการเรียนรู้ได้โดยสามารถแยกความแตกต่างและเลือกตอบสนองเฉพาะสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขเท่านั้นได้
หลักการจัดการศึกษา
1.การเสนอสิ่งเร้าให้ชัดเจนในการสอนจะสามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และตอบสนองได้ชัดเจนขึ้น
2. หากต้องการให้ผู้เรียนเกิดพฤติกรรมใดๆ ควรมีการใช้สิ่งเร้าหลายแบบแต่ต้องมีสิ่งเร้าที่มีการตอบสนองโดยไม่มีเงื่อนไขควบคู่อยู่ด้วย
จากแนวคิดทฤษฏีและกฏการเรียนรู้และหลักการจัดการศึกษาของพาฟลอฟจะเห็นว่ามีความสัมพันธ์กับสื่อมัลติมีเดียเรื่องแมลงคือ มีสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขคือ มีการเสนอสิ่งเร้าให้ความชัดเจน ในการสอนที่มีภาพเคลื่อนไหว ภาพนิ่งประกอบคำบรรยายมีสีสันสวยงามและมีรูปแบบตัวอักษรเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้ศึกษาเกิดความสนใจอยากติดตามเนื้อหาในแต่ละเรื่อง ช่วยให้ผู้ศึกษาเกิดการเรียนรู้ จำ และตอบสนองความต้องการของผู้สอนและตรงตามวัตถุประสงค์ อีกทั้งนักเรียนสามารถจำแนกความแต่งต่างของสิ่งเร้าระหว่างการอ่านแล้วเล่าเรื่องให้ฟังกับการเรียนรู้ทางสื่อมัลติมิเดียสิ่งใดให้ความรู้กับเราได้รวดเร็วและเข้าใจง่าย
1.3 ทฤษฏีการวางเงื่อนไขแบบต่อเนื่อง ( Contiguous Conditionling ) ของกัทธรี
ทฤษฎีนี้ กล่าวว่า หลักการจูงใจ ( motivation) การเรียนรู้เกิดจากการจูงใจมากกว่าการเสริมแรง
หลักการจัดการศึกษา
- ในการสอนควรวิเคราะห์งานออกเป็นส่วนย่อย และสอนหน่วยย่อยเหล่านั้นให้เด็กสามารถตอบสนองอย่างถูกต้องจริงๆ หรือได้รับการเรียนรู้ที่ถูกต้องในทุกๆ หน่วย
จากแนวคิดทฤษฏีและกฎการเรียนรู้และหลักการจัดการศึกษาของกัทธรีจะเห็นว่ามีความสัมพันธ์กับสื่อมัลติมีเดียเรื่องแมลงคือสื่อมัลติมิเดียเรื่องแมลงเป็นสื่อที่มีการจูงใจด้านสีสัน ภาพเสียง ทำให้เกิดแรงจูงใจอยากติดตามเนื้อหาอยากอ่านและติดตามเรื่องจนจบและสื่อมัลติมิเดียนี้ มีการวิเคราะห์นื้อหาจากหน่วยใหญ่ออกเป็นหน่วยย่อยๆเรียนรู้ตามลำดับของความสำคัญจากเรื่องที่เป็นความรู้พื้นฐานของเรื่องไปสู่เรื่องที่ยากสลับซับซ้อนมากขึ้นซึ่งตรงกับหลักการจัดการศึกษาของกัทธรี
1.4 ทฤษฏีการเรียนรู้ของฮัลล์( Hull ‘s systematic Behavior Theory )ทฤษฎีนี้ กล่าวว่า
กฎแห่งการลำดับกลุ่มนิสัย เมื่อมีสิ่งเร้ามากระตุ้น แต่ละคนจะมีการตอบสนองต่างๆ กัน ในระยะแรกการแสดงออกมีลักษณะง่ายๆ ต่อเมื่อเรียนรู้มากขึ้นก็สามารถเลือกแสดงการตอบสนองในระดับที่สูงขึ้นหรือถูกต้องตามมาตรฐานของสังคม
หลักการจัดการศึกษา
- ในการจัดจัดการเรียนการสอน ควรคำนึงถึงความพร้อม ความสามารถและเวลาที่ผู้เรียนจะเรียนได้ดีที่สุด
- ผู้เรียนมีระดับของการแสดงออกไม่เท่ากัน ในการจัดการเรียนการสอน ควรให้ทางเลือกที่หลากหลาย เพื่อให้ผู้เรียนจะได้สามารถตอบสนองตามระดับความสามารถของตน
จากแนวคิดทฤษฏีและกฏการเรียนรู้และหลักการจัดการศึกษาของฮัลล์จะเห็นว่ามีความสัมพันธ์กับสื่อมัลติมีเดียเรื่องแมลงคือสื่อมัลติมิเดียเรื่องแมลงเป็นสื่อที่ผู้เรียนสามารถที่จะเรียนรู้ในช่วงเวลาใดก็ได้ตามความต้องการของผู้เรียนเมื่อผู้เรียนพร้อมที่จะเรียนก็สามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลาไม่จำเป็นต้องเรียนรู้เฉพาะในห้องเรียนและยังเป็นสื่อที่ให้ผู้เรียนได้มีทางเลือกที่จะเรียนรู้ว่าต้องการรู้เรื่องอะไรก่อนหลังได้ตามความสนใจอีกทั้งเป็นสื่อความรู้ทางเลือกของผู้เรียนเพราะผู้เรียนบางคนจะเรียนรู้ได้ดีทางประสาทสัมผัสทั้ง 5ครบถึงจะเรียนรู้ได้ดีแต่บางคนอ่านอย่างเดียว หรือฟัง ก็สามารถเรียนรู้ได้แล้วจึงสนองความแตกต่างของบุคคลในการเรียนรู้ได้ดี





2.ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มปัญญานิยม ( Cognitivism )
2.1ทฤษฎีเกสตัลท์ ( Gestalt Theory)ทฤษฎีนี้ กล่าวว่า การเรียนรู้เกิดขึ้นได้ 2 ลักษณะคือ
1. การรับรู้(Perception) การรับรู้เป็นกระบวนการที่บุคคลใช้ประสาทสัมผัสรับสิ่งเร้าแล้วถ่ายโยงเข้าสู่สมองเพื่อผ่านเข้าสู่กระบวนการคิด สมองหรือจิตจะใช้ประสบการณ์เดิมตีความหมายของสิ่งเร้าและแสดงปฏิกิริยาตอบสนองออกไปตามที่สมอง จิต ตีความหมาย
2. การหยั่งเห็น เป็นการค้นพบหรือการเกิดความเข้าใจในช่องทางแก้ปัญหาอย่างฉับพลันทันที อันเนื่องมาจากผลการพิจารณาปัญหาโดยส่วนรวม และการใช้กระบวนการทางความคิดและสติปัญญาของบุคคลนั้น
หลักการจัดการศึกษา
-การเสนอบทเรียนหรือเนื้อหาควรจัดให้มีความต่อเนื่องกันจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดี และรวดเร็ว
การส่งเสริมให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ที่หลากหลาย จะช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้แบบหยังเห็นได้มากขึ้น
จากแนวคิดทฤษฏีและกฎการเรียนรู้และหลักการจัดการศึกษาของเกสตัลท์จะเห็นว่ามีความสัมพันธ์กับสื่อมัลติมีเดียเรื่องแมลงคือสื่อมัลติมิเดียเรื่องแมลงเป็นสื่อที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ทางประสาทสัมผัสคือทางสายตา ทางหู ถือว่าเป็น สิ่งเร้าหรือการสร้างประสบการณ์ของผู้เรียนให้หลากหลายผ่านทางตา หู การพูด คือการออกเสียง แล้วถ่ายโยงเข้าสู่สมองเพื่อผ่านเข้าสู่กระบวนการคิด สมองหรือจิตจะใช้ประสบการณ์เดิมตีความหมายของสิ่งเร้าและแสดงปฏิกิริยาตอบสนองออกไปตามที่สมอง จิต ตีความหมายทำให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ฝึกทักษะการคิดอีกทั้งยังยังมีการนำเสนอเนื้อหาที่ต่อเนื่องกันทำให้เกิดการเรียนรู้ได้เร็ว
2.2ทฤษฎีสนาม ( Field t Theory)ของ เคิร์ท เลวิน ทฤษฎีนี้ กล่าวว่า
-พฤติกรรมของคนมีพลังและทิศทาง สิ่งใดที่อยู่ในความสนใจและความต้องการของตนจะมีพลังเป็น + สิ่งที่อยู่นอกเหนือจากความสนใจ จะมีพลังงานเป็น - ในขณะใดขณะหนึ่งคนทุกคนจะมี โลก หรือ อวกาศชีวิต(Life space) ของตน ซึ่งจะประกอบไปด้วย สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ( Physica enviroment) อันได้แก่คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ สิ่งแวดล้อมอื่นๆ และสิ่งแวดล้อมทางจิตวิทยา ( Phychological enviroment) ) ซึ่งไดแก่ แรงขับ(drive ) แรงจูงใจ(motivation) เป้าหมายหรือจุดหมายปลายทาง(goal) รวมทั้งความสนใจ(interest )
- การเรียนรู้เกิดขึ้นเมื่อบุคลมีแรงจูงใจหรือแรงขับที่จะกระทำให้ไปสู่จุดหมายปลายทางที่ตนต้องการ
หลักการจัดการศึกษา
-การช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ จำเป็นต้องอาศัยการทำความเข้าใจ โลก ของผู้เรียนว่า ผู้เรียนมีจุดมุ่งหมายและความต้องการอะไร อะไรเป็นพลัง+ และอะไรเป็นพลัง - ของเขา และพยายามจัดสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมที่จะช่วยให้ผู้เรียนไปสู่จุดหมาย
- การจัดการเรียนรู้ให้เข้าไปอยู่ใน โลกของผู้เรียนโดยการจัดสิ่งแวดล้อมทั้งทางกายภาพและจิตวิทยาให้ดึงดูดความสนใจและสนองความต้องการของผู้เรียน เป็นสิ่งจำเป็นในการจัดการเรียนการสอน
- การสร้างแรงจูงใจ และ /หรือแรงขับที่จะนำให้ผู้เรียนไปสู่ทิศทางหรือจุดหมายที่ต้องการ เป็นสิ่งที่จำเป็นในการช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
จากแนวคิดทฤษฏีและหลักการจัดการศึกษาของเคิร์ท เลวิน จะเห็นว่ามีความสัมพันธ์กับสื่อมัลติมีเดียเรื่องแมลงคือสื่อมัลติมิเดียเรื่องแมลงเป็นสื่อที่มีการสร้างสิ่งแวดล้อมในการเรียนรู้เสมือนเข้าไปอยู่ในสภาพพื้นที่ที่สัตว์ตัวนั้นอาศัยอยู่ทำให้เห็นกระบวนการดำรงชีวิตจริงของแมลงซึ่งเป็นการสร้างสิ่งแวดล้อมทางกายภาพให้ผู้เรียนเกิดความสนใจอยากเข้าศึกษาและในขณะเดียวกันการเรียนรู้แบบใหม่ผู้เรียนไม่จำเป็นต้องอ่านเฉพาในหนังสือผู้เรียนสามารถเรียนรู้ทางคอมพิวเตอร์เป็นสื่อเพราะผู้เรียนในระดับประถมและมัธยมศึกษาถือว่าการเรียนทางคอมพิวเตอร์เป็นการรียนรู้ของเด็กสมัยใหม่ จึงเป็นแรงขับหรือเป็นสื่อที่เข้าถึงโลกของผู้เรียนแบบสมัยยุคโลกาภิวัตน์ที่แท้จริงจึงเป็นพลังทาง + ที่ช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ไปตามจุดมุ่งหมาย
2.3ทฤษฎีเครื่องหมาย ( Sign Theory)ของ ทอลแมน ทฤษฎีนี้ กล่าวว่า
ขณะที่ผู้เรียนพยายามจะไปถึงจุดหมายปลายทางที่ต้องการผู้เรียนจะเกิดการเรียนรู้เครื่องหมาย สัญลักษณ์
หลักการจัดการศึกษา
- ในการสอนให้ผู้เรียนบรรลุจุดมุ่งหมาย ใดๆ นั้นครูควรให้เครื่องหมาย สัญลักษณ์ หรือสิ่งอื่น ที่เป็นเครื่องชี้ทางควบคู่ไปด้วย
- การปรับเปลี่ยนสถานการณ์การเรียนรู้ สามารถช่วยให้ผู้เรียนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนได้
จากแนวคิดทฤษฏีและหลักการจัดการศึกษาของทอลแมนจะเห็นว่ามีความสัมพันธ์กับสื่อมัลติมีเดียเรื่องแมลงคือสื่อมัลติมิเดียเรื่องแมลงเป็นสื่อที่จะต้องเรียนรู้ไปตามขั้นตอน มีเครื่องหมายชี้นำทาง มีสัญลักษณ์รูปภาพ เครื่องหมายที่ชี้นำทางการสรุปความรู้ในเรื่องต่างๆ การเช่นการสรุปวัฏจักรการดำรงชีวิตของแมลง ซึ่งใช้สัญลักษณ์ให้ผุ้เรียนเรียนรู้และจำได้อีกทั้งการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการสอนของครูจากการสอนโดยการบรรยายอย่างเดียวทำให้ผู้เรียนน่าเบื่อหรือผู้เรียนไม่อยากเรียนไม่ยอมฟังครูผู้สอนแต่เมื่อนำสื่อมัลติมิเดียมาช่วยในการจัดการเรียนการสอนก็สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้เรียนให้มีความกระตือรือร้นอยากที่จะลงมือทำและเรียนรู้ด้วยตนเองโดยถ้าไม่เข้าใจหรือเรียนไม่ทันก็สามารถกลับมาทบทวนเรียนซ้ำได้อีกจนผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ทันเพื่อนและชำนาญเข้าในในเนื้อหาอย่างชัดเจน
2.4 ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญา ( Intelectual Development)
2.4.1ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญาของเพียเจต์ ทฤษฎีนี้ กล่าวว่า การเรียนรู้ของเด็กเป็นไปตามพัฒนาการทางสติปัญญา ซึ่งจะมีพัฒนาการไปตามวัยต่างๆ เป็นสำดับขั้น พัฒนาการเป็นสิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ควรที่จะเร่งเด็กให้ข้ามจากพัฒนการขั้นหนึ่งไปสู่อีกขั้นหนึ่งเพราะจะทำให้เกิดผลเสียแก่เด็ก แต่การจัดประสบการณ์ส่งเสริมพัฒนาการของเด็กในช่วงที่เด็กกำลังจะพัฒนาไปสู่ขั้นที่สูงกว่า สามารถช่วยให้เด็กพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามเพียเจต์เน้นความสำคัญของการเข้าใจธรรมชาติและพัฒนาการของเด็กมากกว่าการกระตุ้นเด็กให้มีพัฒนาการเร็วขึ้นพัฒนาการเร็วขึ้น
กระบวนการทางติปัญญามีลักษณะดังนี้
- การซึมซับหรือการดูดซึม (assimilation) เป็นกระบวนการทางสมองในการรับประสบกาณ์ เรื่องราว และข้อมูลต่างๆ เข้ามาสะสมเก็บไว้ เพื่อใช้ประโยชน์ต่อไป
- การปรับและจัดระบบ (accommodation) คือกระบวนการทางสมองในการปรับประสบการณ์เดิมและประสบการณ์ใหม่ให้เข้ากันเป็นระบบหรือเครือข่ายทางปัญญาทีตนสามารถเข้าใจได้ เกิดเป็นโครงสร้างทางปัญญาใหม่ขึ้น
- การเกิดความสมดุล (equilibration) เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นจากขั้นการปรับ หากการปรับเป็นไปอย่างและประสบการณ์เดิมให้เข้ากันได้ ก็จะเกิดภาวะความไม่สมดุลขึ้น ซึ่งจะก่อให้เกดความขัดแย้งทางปัญญาขึ้นในตัวบุคคล
หลักการจัดการศึกษา
- เด็กแต่ละคนมีพัฒนาการแตกต่างกัน ถึงแม้อายุจะเท่ากัน แต่ระดับพัฒนาการอาจไม่เท่ากัน ดังนั้นจึงไม่ควรเปรียบเทียบเด็กควรให้เด็กมีอิสระที่จะเรียนรู้และพัฒนาความามารถของเขาไปตามระดับพัฒนาการของเขา
- ในการสอนควรชิ่งที่เป็นรูปธรรม เพื่อช่วยให้เด็กเข้าใจลักษณะต่างๆ ได้ดีขึ้นแม้ในพัฒนาการช่วงการคิดแบบรูปธรรมเด็กจะสามารถสร้างภาพในใจได้ แต่การสอนที่ใช้อุปกรณ์ที่เป็นรูปธรรมจะช่วยให้เด็กเข้าใจแจ่มชัดขึ้น
- การเปิดโอกาสให้เด็กได้รับประสบการณ์ และมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้มมากๆ ช่วยให้เด็กดูดซึมข้อมูลเข้าสู่โครงสร้างทางสติปัญญาของเด็กอันเป็นการส่งเสริมการพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็ก
จากแนวคิดทฤษฏีและหลักการจัดการศึกษาของเพียเจต์จะเห็นว่ามีความสัมพันธ์กับสื่อมัลติมีเดียเรื่องแมลงคือสื่อมัลติมิเดียเรื่องแมลงเป็นสื่อทีแสดงเนื้อหาทั้งที่เป็นรูปภาพ เสียง สัญลักษณ์ทางอักษร เครื่องหมาย ทำให้เห็นรูปเป็นรูปธรรมเด็กได้รับประสบการณ์ และมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมที่หลากหลายก็จะส่งผลให้ผู้เรียนสร้างภาพและเข้าสู่กระบวนการทางสมองทำให้เด็กมีสติปัญาและเรียนรู้เข้าใจในเนื้อหาแจ่มชัดขึ้น
2.4.2ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญาของบรุนเนอร์ ทฤษฎีนี้ กล่าวว่า
- การจัดโครงสร้างของความรู้ให้มีความสัมพันธ์และสอดคล้องกับพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็ก มีผลต่อการเรียนรู้ของเด็ก
- การจัดหลักสูตรและการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับระดับความพร้อมของผู้เรียน และสอดคล้องกับพัฒนาการทางสติปัญญาของผู้เรียนจะช่วยให้การเรียนรู้เกิดประสิทธิภาพ
- ทฤษฏีพัฒนาการทางสติปัญญาของมนุษย์แบ่งได้เป็น 3 ขั้นตอนใหญ่ๆคือ
1 ขั้นการเรียนรู้จากการกระทำ( Enactive Stage) คือขั้นของการเรียนรู้จาการใช้ประสาทสัมผัสรับรู้สิ่งต่างๆ การลงมือกระทำช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้ได้ดี การเรียนรู้เกิดจาการกระทำ
2 ขั้นการเรียนรู้จากความคิด ( Iconic Stage) เป็นขั้นที่เด็กสามารถสร้างมโนภาพในใจได้ และสามารถเรียนรู้จากภาพแทนของจริงได้
3 ขั้นการเรียนรู้สัญลักษณ์ และนามธรรม) เป็นขั้นการเรียนรูสิ่งที่ซับซ้อนและเป็นนามธรรมได้
- การเรียนรู้เกิดขึ้นได้จากการที่คนเราสามารถสร้างความคิดรวบยอด หรือสามารถจัดประเภทของสิ่งต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม
- การเรียนรู้ที่ได้ผลดีที่สุดคือการให้ผู้เรียนค้นพบการเรียนรู้ด้วยตนเอง( discovery learning)
หลักการจัดการศึกษา
1 กระบวนการค้นพบการเรียนรู้ด้วยตนเอง เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ดีมีความหมายสำหรับผู้เรียน
2 การวิเคราะห์และจัดโครงสร้างเนื้อหาสาระการเรียนรู้ให้เหมาะสมเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำก่อนการสอน
3 การจัดหลักสูตรแบบเกลียว (Spira Curriculum) ช่วยให้สามารถสอนเนื้อหาหรือความคิดรวบยอดเดียวกันแก่ผู้เรียนทุกวัยได้ โดยต้องจัดเนื้อหาความคิดรวบยอดและวิธีสอนให้เหมาะสมกับขั้นพัฒนาการของผู้เรียน
4.ในการเรียนการสอนควรส่งเสริมให้ผู้เรียนได้คิดอย่างอิสระ ให้มากเพื่อช่วยส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียน
5. การสร้างแรงจูงใจภายใจให้เกิดขึ้นกับผู้เรียน เป็นสิ่งจำเป็นในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แก่ผู้เรียน
6 การจัดกระบวนการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับขั้นพัฒนาการทางสติปัญญาของผู้เรียน จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดี
7 การจัดประสบการณ์ให้ผู้เรียนได้ค้นพบการเรียนรู้ด้วยตนเองสามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดี
จากแนวคิดทฤษฏีและหลักการจัดการศึกษาของบรุนเนอร์จะเห็นว่ามีความสัมพันธ์กับสื่อมัลติมีเดียเรื่องแมลงคือสื่อมัลติมิเดียเรื่องแมลงเป็นสื่อทีแสดงเนื้อหาทั้งที่เป็นขั้นการเรียนรู้จากการกระทำ( Enactive Stage) คือขั้นของการเรียนรู้จาการใช้ประสาทสัมผัสรับรู้สิ่งต่างๆ การลงมือกระทำช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้และสร้างมโนภาพในใจและสร้างองค์ความรู้เป็นความคิดรวบยอดและการเรียนรู้ทางสื่อมัลติมิเดียเป็นการเรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งตรงกับหลักทฤษฏีที่ว่าการเรียนรู้ด้วยตนเองตนเอง เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ดีมีความหมายสำหรับผู้เรียนและเนื้อหาของสื่อก็ได้ทำการวิเคราะห์เนื้อหาให้เหมาะสมกับวัยและพัฒนาการของเด็กใช้ศัพท์ที่อ่านแล้วเข้าใจง่ายจึงเป็นสื่อที่เหมาะสมกับทฤษฏีนี้


3. ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มการประมวลสารสนเทศ( Information Processing Theory ) ซึ่งเป็นทฤษฎีของคลอสไมเออร์ (Klausmeier) แนวคิด คือ การทำงานของสมองมนุษย์มีความคล้ายคลึงกับการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ (ได้อธิบายการเรียนรู้ของมนุษย์โดยเปรียบเทียบการทำงานของคอมพิวเตอร์กับการทำงานของสมอง ซึ่งมีการทำงานเป็นขั้นตอนดังนี้ คือ
1. การรับข้อมูล (Input) โดยผ่านทางอุปกรณ์หรือเครื่องรับข้อมูล
2. การเข้ารหัส (Encoding) โดยอาศัยชุดคำสั่งหรือซอฟต์แวร์ (Software)
3. การส่งข้อมูลออก (Output) โดยผ่านทางอุปกรณ์
คลอสไมเออร์ ได้อธิบายกระบวนการประมวลข้อมูลโดยเริ่มต้นจากการที่มนุษย์รับสิ่งเร้าเข้ามาทางประสาทสัมผัสทั้ง 5 สิ่งเร้าที่เข้ามาจะได้รับการบันทึกไว้ในความจำระยะสั้น ซึ่งการบันทึกนี้จะขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ 2 ประการคือ การรู้จัก (Recognition) และความใส่ใจ(Atention)ของบุคคลที่รับสิ่งเร้าที่ตนรู้จักหรือมีความสนใจ สิ่งเร้านั้นจะได้รับการบันทึกลงในความจำระยะสั้น (Short-Term Memory) ซึ่งจะดำรงคงอยู่ในระยะเวลาที่จำกัดมาก แต่ละบุคคลมีความสามารถในการจำระยะสั้นที่จำกัด คนส่วนมากจะสามารถจำสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกันได้เพียงครั้งละ 7± 2 อย่างเท่านั้น ในการทำงานที่จำเป็นต้องเก็บข้อมูลไว้ใช้ชั่วคราว อาจจำเป็นต้องใช้เทคนิคต่าง ๆ ในการจำช่วย เช่น การจัดกลุ่มคำ หรือการท่องซ้ำ ๆ กันหลายครั้ง ซึ่งจะสามารถช่วยให้จดจำสิ่งนั้นไว้ใช้งานได้ การเก็บข้อมูลไว้ใช้ในภายหลัง สามารถทำได้โดยข้อมูลนั้นจำเป็นต้องได้รับการประมวลและเปลี่ยนรูปโดยการเข้ารหัส (Encoding) เพื่อนำไปเก็บไว้ในความจำระยะยาว (Long Term Memory) ซึ่งอาจต้องใช้เทคนิคต่าง ๆ เข้าช่วย เช่น การท่องซ้ำหลาย ๆ ครั้ง หรือการทำข้อมูลให้มีความหมายกับตนเอง โดยการสัมพันธ์สิ่งที่เรียนรู้ใหม่กับสิ่งเก่าที่เคยเรียนรู้มาก่อน ซึ่งเรียกว่า เป็นกระบวนการขยายความคิด (elaborative Operations Process) ความจำระยะยาวนี้มี 2 ชนิด คือ ความจำที่เกี่ยวกับภาษา (Semantic) และความจำที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ (episodic) นอกจากจั้นยังอาจแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ ความจำ ประเภทกลไกที่เคลื่อนไหว ( motoric memory) หรือความจำประเภทอารมณ์ ความรู้สึก (effective memory )เมื่อข้อมูลข่าวสารได้รับการบันทึกไว้ในความจำระยะยาวแล้ว บุคคลจะ สามารถเรียกข้อมูลต่าง ๆ ออกมาใช้ได้ ซึ่งในการเรียกข้อมูลออกมาใช้ บุคคลจำเป็นต้องถอดรหัสข้อมูล (Decoding) จากความจำระยะยาวนั้น และส่งต่อไปสู่ตัวก่อกำเนิดพฤติกรรมตอบสนอง ซึ่งจะเป็นแรงขับหรือกระตุ้นให้บุคคลมีการเคลื่อนไหว หรือการพูดสนองตอบต่อสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ
หลักการจัดการศึกษา
1. เนื่องจากการรู้จัก (Recognition) มีผลต่อการรับรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่ง หากเรารู้จักสิ่งนั้นมาก่อน เราก็มักจะเลือกรับรู้สิ่งนั้น และนำไปเก็บไว้ในหน่วยความจำต่อไป การที่บุคคลจะรู้จักสิ่งใด ก็ย่อมหมายความว่า บุคคลรู้หรือเคยมีประสบการณ์กับสิ่งนั้นมาก่อน ดังนั้น การนำเสนอสิ่งเร้าที่ผู้เรียนรู้จักหรือมีข้อมูลอยู่ แล้วจะสามารถช่วยให้ผู้เรียนหันมาใส่ใจและรับรู้สิ่งนั้น ซึ่งผู้สอนสามารถเชื่องโยงไปถึงสิ่งใหม่ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งนั้นได้
2. เนื่องจากความใส่ใจ (Attention) เป็นองค์ประกอบสำคัญต่อการรับข้อมูลเข้ามาไว้ในความจำระยะสั้น ดังนั้น ในการจัดการเรียนการสอน จึงควรจัดสิ่งเร้าในการเรียนรู้ให้ตรงกับความสนใจของผู้เรียน เพราะจะช่วยให้ผู้เรียนใส่ใจและรับรู้สิ่งนั้น และนำไปเก็บบันทึกไว้ในความจำระยะสั้นต่อไป
3. เนื่องจากข้อมูลที่ผ่านการรับรู้มาแล้ว จะถูกนำไปเก็บไว้ในความจำระยะสั้น ซึ่งนักจิตวิทยาการศึกษาพบว่า จะคงอยู่เพียง 15-30 วินาทีเท่านั้น ดังนั้น หากต้องการที่จะจำสิ่งนั้นนานกว่านี้ ก็จำเป็นต้องใช้วิธีการต่างๆช่วย เช่น การท่องซ้ำกันหลายๆครั้ง หรือการจัดสิ่งที่จำให้เป็นหมวดหมู่ ง่ายแก่การจำ เป็นต้น
4. หากต้องการจะให้ผู้เรียนจดจำเนื้อหาสาระใด ๆ ได้เป็นเวลานาน สาระนั้นจะต้องได้รับการเข้ารหัส (Encoding) เพื่อนำไปเข้าหน่วยความจำระยะยาว วิธีการเข้ารหัสสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การท่องจำซ้ำ ๆ การทบทวน หรือการใช้กระบวนการขยายความคิด (Elaborative Operations Process) ซึ่งได้แก่ การเรียบเรียง ผสมผสาน ขยายความ และการสัมพันธ์ความรู้ใหม่กับความรู้เดิม
5. ข้อมูลที่ถูกนำไปเก็บไว้ในหน่วยความจำระยะสั้นหรือระยะยาวแล้ว สามารถเรียกออกมาใช้งานได้โดยผ่าน “Effector” ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นพฤติกรรมทางวาจาหรือการกระทำ (Vocal and Motor Response Generator) ซึ่งทำให้บุคคลแสดงความคิดภายในออกเป็นพฤติกรรมที่สังเกตเห็นได้ การที่บุคคลไม่สามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่เก็บไว้ได้ อาจจะเป็นเพราะไม่สามารถเรียกข้อมูลให้ขึ้นถึงระดับจิตสำนึกได้ (Conscious Level) หรือเกิดการลืมขึ้น
6. เนื่องจากกระบวนการต่าง ๆ ของสมองได้รับการควบคุมโดยหน่วยบริหารควบคุมอีกชั้นหนึ่ง (Executive Control Of Information Processing) ซึ่งเปรียบได้กับโปรแกรมสั่งงาน ซึ่งเป็น “Software” ของเครื่องคอมพิวเตอร์ ดังนั้น การที่ผู้เรียนรู้ตัวและรู้จักการบริหารควบคุมกระบวนการทางปัญหาหรือกระบวนการคิดของตนก็จะสามารถทำให้บุคคลนั้นสามารถสั่งงานให้สมองกระทำการต่าง ๆ อันจะทำให้ผู้เรียนประสบความสำเร็จในการเรียนรู้ได้ เช่น หากผู้เรียนรู้ตัวว่า เรียนวิชาใดวิชาหนึ่งไม่ได้ดี เพราะไม่ชอบครูที่สอนวิชานั้น นักเรียนก็อาจหาทางแก้ปัญหานั้นได้ โดยอาจสร้างแรงจูงใจให้กับตนเอง หรือใช้เทคนิคกลวิธีต่าง ๆ เข้าช่วย
จากแนวคิดทฤษฏีและหลักการจัดการศึกษาของคลอสไมเออร์ Klausmeier)จะเห็นว่ามีความสัมพันธ์กับสื่อมัลติมีเดียเรื่องแมลงคือสื่อมัลติมิเดียเรื่องแมลงเป็นสื่อที มี ภาพประกอบคำบรรยายมีสีสันสวยงามมีภาพนิ่งภาพเคลื่อนไหวและเนื้อหาสาระที่นักเรียนต้องการศึกษาทำให้ผู้เรียนเกิดการใส่ใจในเนื้อหาเมื่อรับรู้แล้วก็จะประมวลความรู้ทางสมองโดยสมองได้รับการกระตุ้นจากรับสิ่งเร้าเข้ามาทางประสาทสัมผัสทั้ง 5 สิ่งเร้าที่เข้ามาจะได้รับการบันทึกไว้ในความจำระยะสั้น และถ่ายทอดอีกทั้งยังสามารถกลับมาทบทวนจนเกิดความเข้าสามารถจดจำ จัดระเบียบ เรียบเรียง และรวบรวมความรู้ที่ได้รับกลายเป็นความจำระยะยาวเมื่อมีสิ่งเร้าคล้ายๆกันมากระตุ้นผู้เรียนก็จะเรียกใช้ข้อมูลที่เขาจำและระลึกได้นำมาประยุกต์ใช้และสร้างความสัมพันธ์กับความรู้ใหม่ที่เพิ่มขึ้นได้

*****************************************************************************
ส่งงานที่กระทู้ของอาจารย์ วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม 53 ก่อนเที่ยงคืน
จับคู่คิด ศึกษาสื่อมัลติมีเดีย จากเว็บ
http://61.7.158.13/kan_cai3/index2.htm
http://www.thaiedunet.com/multimedia/
http://210.246.188.51/goverment/index.htm
http://mediacenter.obec.go.th/moe/index.html
http://www.karn.tv/thai.html
http://www.horhook.com/content/index.htm
http://210.246.188.51/index.jsp
ทำ การวิเคราะห์แนวคิด หลักการ ของทฤษฎีกลุ่มพฤติกรรมนิยม ปัญญานิยม ประมวลสารสนเทศ แนวคิดของสื่อ
มัลติมีเดียเพื่อการเรียนรู้ด้วยตนเอง มัลติมีเดียเพื่อการนำเสนอ ที่ใช้ในการออกแบบสื่อมัลติมีเดียดังกล่าว
*******************************************************************